"แรมโบ้อีสาน" ควง "สนธิญา" แจ้งความตำรวจ ปอท. เอาผิด "วีระ สมความคิด" และ "เอกลักษณ์" หมิ่นประมาท และผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ กล่าวหารุมทำร้าย-หลอกเงินค่าวิ่งเต้นประมูลงาน

เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 ศูนย์แจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นายเสกสกล อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน อดีตผู้ช่วยนายกรัฐมนตรี และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย นายสนธิญา สวัสดี อดีตที่ปรึกษากรรมาธิการกฎหมายการยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เข้าพบ ร.ต.อ.หญิง ณัฐชยา วงศ์รุจิไพโรจน์ รอง สว.สอบสวน กก.3 บก.ปอท. เพื่อให้ดำเนินคดีกับ นายวีระ สมความคิด ประธานเครือข่ายประชาชนต้านคอร์รัปชัน และนายเอกลักษณ์ วารีชล ในข้อหาหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา และ นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันข้อความอันเป็นเท็จ

นายเสกสกล กล่าวว่า จากกรณีเมื่อวันที่ 3 ก.พ. 2566 นายวีระ และนายเอกลักษณ์ ได้แถลงข่าวกล่าวหาว่า ตนและพรรคพวกไปรุมทำร้าย สาเหตุมาจากที่นายเอกลักษณ์มาทวงเงินกับตนเอง จากนั้นได้ไปร้องเรียนนายวีระว่าตนเองไปหลอกเรียกเงินค่าวิ่งเต้นให้นายเอกลักษณ์ชนะการประมูลงาน โครงการภายใน พื้นที่ กทม. งบประมาณเกือบ 600 ล้าน เมื่อปี 2563 อ้างว่ามีการจ่ายเงินให้ตนเองเกือบ 2 ล้าน และมีการถ่ายภาพไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด

นายเสกสกล กล่าวอีกว่า เรื่องนี้ได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกับนายเอกลักษณ์ไปแล้วหลายครั้ง หลายท้องที่ ตั้งแต่ต้นปี 2565 แต่นายเอกลักษณ์ไม่ยอมเลิกลา ตามรังควานมาตลอดเพื่อทำให้ตนเสียชื่อเสียง จนล่าสุดเมื่อวันที่ 23 ม.ค. 66 ขณะนั่งดื่มกาแฟแถวแยกลาดพร้าว นายเอกลักษณ์ ยังตามมารังควานอีก จึงได้ไปลงบันทึกประจำวันไว้ที่ สน.พหลโยธิน ว่าถูกข่มขู่คุกคาม โดยไม่ได้มีการทำร้ายร่างกาย นายเอกลักษณ์แต่อย่างใด แต่พอวันที่ 30 ม.ค. 66 นายเอกลักษณ์กับไปแจ้งความกับ ตำรวจ สน.คันนายาว ว่า ตนพร้อมพวกร่วมกันทำร้ายร่างกาย และนำเรื่องสาเหตุที่ถูกทำร้ายครั้งนี้มาจากกรณีการตามทวงเงินค่าวิ่งเต้นเมื่อปี 2563 ไปร้องเรียนนายวีระ สมความคิด ในเรื่องดังกล่าวและกล่าวหาว่าตนใช้อำนาจโดยมิชอบ นายวีระ ไม่ได้ตรวจสอบเรื่องราวที่ผ่านมาว่าเรื่องจริงเป็นอย่างไร ถ้าตนไปรับเงินจริงขอให้นำหลักฐาน มาแสดง ขนาดผู้รับเหมาที่ฝั่งนั้นกล่าวอ้างมายังมาเป็นพยานให้กับตนเลย

...

วันนี้จึงต้องนำหลักฐานทั้งหมดมาแจ้งความดำเนินคดีกับบุคลลทั้ง 2 คนกับตำรวจ ปอท.ในครั้งนี้ โดยมีทั้งภาพและคลิปมอบให้พนักงานสอบสวนดำเนินการต่อไป.