โฆษก ตร.เผยหลังสอบ "สกาย" ให้การเป็นประโยชน์ พร้อมชี้รูปถ่ายตำรวจห้วยขวาง คาด 1-2 วัน คดีน่าจะชัดเจน แจ้ง ม.149 ได้ ขณะที่ "ชูวิทย์" ย้อนถาม เงิน 27,000 บาท จะคืนเขามั้ย...

เมื่อเวลา 18.20 น. เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 ที่โรงแรมเดอะเดวิส คอนเนอร์วิงค์ ซอยสุขุมวิท 24 ภายหลังจากที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมือง พานายสกาย (Mr.sky) ชาวสิงคโปร์ กลุ่มเพื่อนของอัน หยู ฉิง ดาราสาวชาวไต้หวัน อ้างว่าเป็นผู้จ่ายเงินให้กับตำรวจ สน.ห้วยขวาง จำนวน 27,000 บาทจริง เพื่อแถลงข่าวเพื่อชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสื่อมวลชนไปแล้วนั้น
    
ต่อมา พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม./โฆษก ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ต.อัฐธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 พ.ต.อ.วิชัย แดงประดับ รอง ผบก.น.1 และเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และเจ้าพนักงานสอบสวน เดินทางมาร่วมทำบันทึกปากคำ นายสกาย (พยาน) ชาวสิงคโปร์ เพื่อรวบรวมสำนวนในการดำเนินคดีเอาผิดข้าราชการตำรวจ สน.ห้วยขวาง ทั้ง 7 นาย โดยใช้เวลาร่วม 3 ชั่วโมง
   
พล.ต.ต.อาชยน กล่าวว่า สกายได้ให้ข้อมูลในฐานะพยาน ซึ่งข้อมูลที่ได้รับวันนี้ถือว่าเป็นประโยชน์ต่อการสืบสวน ทางพนักงานสอบสวนได้สอบถามและบันทึกถ้อยคำทั้งหมดแล้ว และมีการชี้ตัวบุคคลที่อยู่ในด่าน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ว่า มีตำรวจกี่นาย หรือเป็นตำรวจชุดที่มีคำสั่งย้ายให้ไปช่วยราชการที่ ศูนย์ปฏิบัติการกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 หรือไม่
    
ทั้งนี้ต้องตรวจสอบกับพยานหลักฐานที่ตำรววจมี จึงจะสามารถแจ้งข้อหาเรียกรับผลประโยชน์กับตำรวจที่เกี่ยวข้องได้ ซึ่งคาดว่าใช้เวลา 1-2 วันนี้คดีน่าจะชัดเจนได้ ส่วนกรณีที่กล่าวถึงชายไม่สวมเครื่องแบบตำรวจเข้าไปยุ่งเกี่ยว ตรวจค้นกลุ่มนักท่องเที่ยวยังอยู่ในระหว่างพิสูจน์ทราบว่าเป็นใคร ถ้าเป็นตำรวจ อยู่ในสังกัดใด

...

พล.ต.ต.อาชยน กล่าวต่อว่า การพิจารณาว่าจะดำเนินคดี กับสกายในข้อหาจ่ายสินบนหรือไม่ต้องให้ทางคณะกรรมการสอบสวนพิจารณา จากคำให้การของสกายการถูกเรียกรับดังกล่าวเป็นการให้โดยสมัครใจ หรือ ขู่บังคับ พนักงานสอบสวนต้องพิจารณาคำให้การดังกล่าวให้ชัดเจนเพราะจะมีผลต่อสถานะของสกาย ว่าจะเป็นพยานหรือฐานะอื่น ทั้งนี้สกาย ถือว่าเป็นพยานคนสำคัญในคดีเพราะเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ที่สื่อสารกับตำรวจโดยตรงและเป็นเจ้าของเงิน 27,000บาท ที่ตำรวจเรียกไปนอกจากนี้สกายยังเป็นคนเดียวในกลุ่มที่สื่อสาร ฟังและพูดภาษาไทยได้ดี

ระหว่างการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน นายชูวิทย์ ฝากโฆษก ตร.นำเรื่อง เรียนไปยัง ผบ.ตร. โดยระบุ ว่า ในกรณีบุหรี่ไฟฟ้า นักท่องเที่ยวน่าจะอะลุ่มอล่วยหรือเตือนเขาได้ ไม่มีทางจะปราบหมด ตัวผมเองเคยเป็นนักท่องเที่ยวไปต่างประเทศ ขับรถผิดกฎจราจรถูกตำรวจเรียก แต่เห็นเป็นนักท่องเที่ยว ตำรวจก็เตือน ไม่ถึงขนาดต้องจับ เพราะไม่ใช่ข้อหาร้ายแรง ถ้าจะมาจับอย่างนี้รับรองว่านักท่องเที่ยวหายหมด

นอกจากนี้ นายชูวิทย์ ยังถามอีกว่า เงินจำนวน 27,000 บาท จะคืนเขามั้ย โฆษก ตร.เผยว่า ตรงจุดนี้เดี๋ยวจะมีการสรุป ก็จะทราบว่าจะคืนอย่างไร คืนยังไงบ้าง

ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า กรณีบุหรี่ไฟฟ้าผู้ที่มีไว้ในครอบครอง หรือยืนสูบเฉย ตำรวจสามารถทำการจับกุมได้มั้ย โฆษก ตร.เผยว่าในเรื่องของกฎหมายมีการบัญญัติไว้ชัดเจน แต่ในส่วนของการปฏิบัติและการจับกุม ผมคิดว่าคงต้องดูตามสถานการณ์ และดูตามที่เป็นผู้นำเข้า ผู้ครอบครอง ผู้ใช้ต่างๆ ก็จะมีรายละเอียดไม่เหมือนกัน งานหนักก็จะเป็นตำรวจที่ต้องมาพูดคุย สอบถาม หาข้อมูล เพื่อดำเนินการตามกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

"ผมคิดว่าทุกเคสจะมีความแตกต่างกัน ในเรื่องของการดำเนินการ เพราะว่าเป็นกฎหมายต้องใช้หลายส่วนในการพิจารณา"

ผู้สื่อข่าวถามว่า สมมติว่ายืนสูบอยู่เฉยๆ ตำรวจจะจับมั้ยถ้าไปเจอ โฆษก ตร.เผยว่า ก่อนอื่น คงต้องไปสอบถาม และมีการขยายผล มีการสอบปากคำและพูดคุย คงต้องไปดูกันอีกว่าเป็นลักษณะใดถึงสามารถจะวินิจฉัย และดำเนินการตามกฎหมายได้

ในเรื่องของกฎหมายต่างๆ ถ้าเกิดว่าตำรวจพบเห็น ในสิ่งที่จะต้องดำเนินการ คือ ต้องเข้าไปพูดคุย แล้วก็ไปสอบถามในเรื่องของรายละเอียดซึ่งมีอยู่พอสมควร ซึ่งจะต้องหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง เพื่อให้เกิดความกระจ่าง ชัดเจนต่อไป.