ดีเอสไอ เปิดพฤติการณ์ นอท กองสลากพลัส พบเงินกว่า 42 ล้านบาทจากแก๊งฟอกเงินไหลเข้าบัญชีโดยตรง ยัน ไม่ใช่เรื่องการเมือง เหตุ ขยายผลตั้งแต่ 10 ธ.ค. 65 ยันเรียกให้ปากคำในฐานะพยาน
กรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ “ดีเอสไอ” ออกหมายเรียกผู้บริหาร “กองสลากพลัส” เข้าให้ปากคำ เนื่องจากพบว่ามีกลุ่มขบวนการฟอกเงินรายสำคัญที่ได้จับกุมไปก่อนหน้านี้ มีการเบิกถอนเงินสดและนำไปเข้าบัญชีให้กับบุคคลที่เกี่ยวข้องหลายราย โดยปรากฏหลักฐานว่า หนึ่งในผู้รับเงินจำนวนหลายสิบล้านบาทจากกลุ่มขบวนการนี้ คือ ผู้บริหารกิจการ “กองสลากพลัส” จึงเป็นเหตุให้ต้องออกหมายเรียกมาเข้าชี้แจงการรับเงินดังกล่าว ขณะเดียวกัน นายพันธ์ธวัช นาควิสุทธิ์ หรือ “นอท กองสลากพลัส” ก็ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า ตนเองพร้อมชี้แจงกับทางดีเอสไอ ตามที่ได้เสนอข่าวไปอย่างต่อเนื่องแล้วนั้น
ความคืบหน้าเมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 5 ม.ค. 2566 คณะทำงานศูนย์คดียาเสพติด กรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า ตามที่ได้มีการออกหมายเรียกไปนั้น ยืนยันว่าเป็นหมายเรียกให้ผู้บริหารกิจการกองสลากพลัสเข้าให้ปากคำในฐานะพยาน และยังคงมีกำหนดการเดิม คือ วันที่ 13 ม.ค.2566 เวลาประมาณ 10.00 น. แต่ถ้านายพันธ์ธวัช ต้องการเข้าพบก่อนกำหนด ก็สามารถแจ้งมายังเบอร์โทรศัพท์ของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ตามที่ระบุแนบท้ายในหมายเรียกได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษยังไม่ได้รับการประสานเปลี่ยนแปลงกำหนดนัดจากนายพันธ์ธวัชแต่อย่างใด
คณะทำงานศูนย์คดียาเสพติด ระบุถึงพฤติการณ์ของการรับเงินดังกล่าวจนเป็นเหตุให้มีการออกหมายเรียกในฐานะพยาน ว่า เนื่องจากทางดีเอสไอได้มีการสอบสวนขยายผลจนพบกลุ่มขบวนการฟอกเงินดังกล่าวตามที่เป็นข่าว ปรากฏพบว่าเส้นทางการเงินของขบวนการนี้ได้เชื่อมโยงมายังนายพันธ์ธวัช จำนวนกว่า 42 ล้านบาท (ณ ข้อมูลปัจจุบัน) แต่ดีเอสไอยืนยันว่าเราให้ความเป็นธรรม เพื่อให้นายพันธ์ธวัชได้เตรียมเอกสารต่างๆมาชี้แจงที่มาของเงินจำนวนหลายสิบล้านบาทนี้กับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และหากให้การเป็นประโยชน์หรือมีข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อถือ ก็จะให้ความเป็นธรรม เพราะปัจจุบันนายพันธ์ธวัชยังอยู่ในสถานะพยาน
...
คณะทำงานศูนย์คดียาเสพติด ยังอธิบายถึงขั้นตอนในวันที่ 13 ม.ค. 66 ว่า หากนายพันธ์ธวัชเดินทางเข้าพบ ทางพนักงานสอบสวนจะแจ้งวัตถุประสงค์การออกหมายเรียก อธิบายถึงข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐานที่รวบรวมได้และสอบถามบางประเด็นคร่าวๆ ให้บุคคลดังกล่าวรับทราบ เช่น ขอให้ชี้แจงว่าเงินก้อนดังกล่าวเป็นของลูกค้ากลุ่มใด เพราะตามหลักการทำธุรกิจแล้ว ผู้บริหารจะต้องรู้จักกลุ่มผู้บริโภคของตัวเอง เพื่อให้กลับไปรวบรวมเอกสาร อาทิ รายการเดินบัญชีออมทรัพย์ย้อนหลัง หรือเอกสารสำคัญต่างๆ เพื่อนำเข้ามามอบให้พนักงานสอบสวนคดีพิเศษอีกครั้งตามกรอบระยะเวลาภายใน 15 วัน หรือตามที่บุคคลดังกล่าวแจ้งความประสงค์ เพราะเอกสารอาจมีจำนวนมาก จึงต้องให้เวลาเขาได้ดำเนินการจัดเตรียม ซึ่งเป็นไปตามกฎหมายอนุญาต และในวันดังกล่าวนี้จะยังไม่มีการแจ้งข้อกล่าวใดกับนายพันธ์ธวัช นอกจากนี้ ดีเอสไอโดยศูนย์คดียาเสพติด ได้ออกหมายเรียกพยานบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งจำนวน 7 คน ไม่ได้เรียกเพียงนายพันธ์ธวัชเท่านั้น และไม่ได้เรียกให้ทุกคนเข้ามาพร้อมกัน แต่เรียกตามลำดับความสำคัญก่อน เพื่อนำผลการสอบปากคำไปใช้เป็นแนวทางในการออกหมายเรียกบุคคลอื่นๆ ในภายหลัง
เมื่อถามถึงข้อครหาที่สังคมมองว่าเป็นการสั่งการจากนายกรัฐมนตรี จนเรียกว่าดีเอสไอรับลูกต่อหรือไม่นั้น คณะทำงานศูนย์คดียาเสพติด ชี้แจงว่า จริงๆ แล้วคณะทำงานได้มีการขยายผลเกี่ยวกับขบวนการกลุ่มฟอกเงินมาตั้งแต่วันที่ 10 ธ.ค. 65 และไม่สามารถทราบได้ว่าจะเจอบุคคลใดบ้างที่เชื่อมโยงถึง จึงเป็นการสืบสวนสอบสวนขยายผลทางคดี ไม่ใช่เรื่องการเมืองและไม่ได้หมายพุ่งเป้ามาที่กองสลากพลัสเจ้าเดียว แต่เป็นเพราะการขยายผลทางคดีที่พบว่าเส้นทางการเงินของหัวหน้าขบวนการฟอกเงินรายสำคัญที่ดีเอสไอถูกจับกุมไปก่อนหน้านี้นั้น มีความเชื่อมโยงถึงนายพันธ์ธวัชโดยตรง
"มั่นใจในพยานหลักฐานที่ได้สืบสวนสอบสวนขยายผลมา จนพบว่าบุคคลดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องแบบไม่ปกติ มีลักษณะการค้าขายที่มีความผิดปกติ รวมถึงเงินหลายสิบล้านบาทนี้ที่เข้าสู่บัญชีเขา ก็มาจากกลุ่มที่ประกอบอาชีพไม่สุจริตอย่างขบวนการฟอกเงิน จึงต้องเชิญมาให้การในฐานะพยาน" คณะทำงานศูนย์คดียาเสพติด ระบุ
ทั้งนี้ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษยังต้องสืบสวนขยายผลเพิ่มเติมว่ามีการโอนเงินออกจากบัญชีออมทรัพย์ของบุคคลดังกล่าวเชื่อมโยงไปถึงบุคคลอื่นๆ อีกหรือไม่อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นยังพบว่ามีเงินจากบัญชีของผู้บริหารกองสลากพลัสเข้าสู่บัญชีของบุคคลสำคัญรายหนึ่งที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของคนในสังคมอีกด้วย.