นายกสภาทนายฯ ชี้กรณียิงกันบน สน.หลักสอง ควรพิจารณาการออกใบอนุญาตพกปืน-ตรวจอาวุธ ด้านทนายที่รอดตาย เผยมือปืนไม่พูดอะไรและยิงหวังผลเอาชีวิตทั้งคู่ จ่อเอาผิดตาม ก.ม. พร้อม ยื่น ยธ.จ่ายเงินชดเชย 

เมื่อวันที่ 28 ธ.ค. 2565 ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ แถลงข่าวกรณีการเข้ามาช่วยเหลือคดีอุจฉกรรจ์ยิงกันที่ สน.หลักสอง เขตบางแค จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 1 ราย และทำให้ทนายความได้รับบาดเจ็บสาหัส รวมถึงเสนอมาตรการการแก้ปัญหาเพื่อป้องกันเหตุซ้ำรอย โดยมีนายอนุสร วิชาธร ทนายความของผู้เสียชีวิตที่ถูกยิงอาการสาหัส มาร่วมแถลงข่าวครั้งนี้ด้วย

นายอนุสร กล่าวว่า ตัวเองเพิ่งมารับเป็นทนายความในคดีนี้ครั้งแรก และเพิ่งได้เจอพูดคุยกับลูกความของตนหรือผู้ตายครั้งแรกที่ สน.หลักสอง ซึ่งทราบมาว่าคดีนี้เป็นคดีรถเฉี่ยวชนและยังตกลงค่าเสียหายไม่ได้ เบื้องต้นได้แจ้งคำให้การของฝั่งผู้ตายแก่พนักงานสอบสวนไปว่า ผู้ตายรับสารภาพและยินดีให้ชดใช้ค่าเสียหาย โดยในวันนั้นตนเดินทางมาพร้อมแฟนตน ส่วนผู้ตายเดินทางมาพร้อมกับภรรยาและลูก

...

ต่อมาเวลาประมาณบ่ายสองโมง คู่กรณีหรือฝั่งคนยิงก็เดินทางมาถึง สน. พร้อมแฟนสาวและทนายความ โดยไม่ได้มีท่าทีตึงเครียดแต่อย่างใด จากนั้นตนได้กล่าวให้แก่ฝั่งคนยิงว่า ฝั่งผู้ตายยินดีรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายทุกประการ ส่วนทนายความฝั่งคนยิงได้แจ้งค่าเสียหายเบื้องต้น 9 ล้านบาทให้ฝ่ายผู้ตายไปชดใช้ ซึ่งขณะนั้นตนและผู้ตายก็ไม่ได้พูดอะไร มีเพียงพนักงานสอบสวนที่กล่าวว่า ยอดค่าใช้จ่ายดังกล่าวสูงเกินไป ตนเลยแจ้งกับทนายฝั่งคนยิงว่า ขอเอกสารประกอบรายการค่าเสียหาย 9 ล้านบาท เช่น ใบค่ารักษาพยาบาลหรือใบรับรองแพทย์ ฯลฯ นำมาแสดงต่อหน้าพนักงานสอบสวน โดยฝั่งทนายของคนยิงระบุว่า ขอพูดคุยปรึกษาเป็นการส่วนตัวกับคนยิงสักครู่ก่อน จากนั้นทนายความและคนยิงก็เดินออกไปจากห้องสอบสวนเพื่อไปพูดคุยกัน

ขณะนั้นภายในห้องมีพนักงานสอบสวน ฝ่ายของผู้ตายซึ่งประกอบไปด้วยผู้ตาย ภรรยาและลูก รวมถึงตนที่เป็นทนายความของผู้ตายและแฟนของตน ส่วนฝั่งมือยิงมีเพียงแฟนสาวของมือยิงคนเดียวในห้อง โดยตอนนั้นแฟนสาวของมือยิงก็ได้ต่อว่าผู้ตายประมาณว่า ที่ผ่านมาทำไมไม่มาขอโทษเลย และไม่เห็นมาพูดคุยเรื่องของการรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายต่างๆ ซึ่งฝั่งผู้ตายก็ยกมือไหว้พร้อมกล่าวว่า "ผมขอโทษ" จากนั้นผู้ตายก็ก้มลงไปเซ็นเอกสารบนโต๊ะของพนักงานสอบสวน

ในจังหวะนั้นมือยิงได้เดินเข้ามาในห้อง แล้วยืนนิ่งสักระยะหนึ่ง ก่อนจะควักอาวุธปืนขึ้นมายิงใส่ผู้ตายและตน โดย ตอนนั้นตนยังมีสติ เข้าใจว่าเป็นปืนปลอมเพราะเสียงปืนค่อนข้างเบาคล้ายเสียงปืนอัดลม แต่พยายามหันหลังเพื่อหลบวิถีกระสุนแต่ไม่พ้น กระสุนปืนเข้าที่ด้านหลังบริเวณสะบักและหัวไหล่ซ้าย 2 นัดและมีเศษกระสุน กระเด็นเข้าที่ต้นขาข้างซ้ายบาดเจ็บสาหัส จนแขนซ้ายหักต้องใส่เฝือก เท่าที่ตนได้ยินผู้ก่อเหตุยิงปืนจำนวน 5 นัด และระยะที่ตนนั่งอยู่นั้นเป็นแนวเดียวกันกับผู้เสียชีวิต จึงเชื่อได้ว่า ผู้ก่อเหตุมีเจตนาเล็งเห็นผลที่จะยิงทั้งผู้ตายและตัวทนายเอง

ส่วนตัวรู้สึกเสียใจและตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่นึกว่าจะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะแบบนี้กับผู้ประกอบวิชาชีพทนายความ และยืนยันว่าผู้ตายรวมถึงตนนั้นไม่ได้กล่าววาจาหรือแสดงพฤติกรรมที่ยั่วยุใส่อารมณ์ในระหว่างเจรจาค่าเสียหาย ถึงขนาดฝั่งผู้ตายเองก็ไม่ได้พูดจาอะไรเลย นอกจากกล่าวขอโทษกับแฟนของมือยิงก่อนที่มือยิงจะเข้ามายิงจนเสียชีวิต ส่วนที่มีรายงานข่าวว่า มือยิงเดินเข้ามากล่าวขอโทษกับพนักงานสอบสวนและต่อว่าผู้ตายทำนองว่า "มึงมาต่อยกูทำไม" ก่อนลั่นไกสังหารนั้น ยืนยันว่าตนไม่ได้ยินแต่อย่างใด และประเด็นที่มีการกล่าวอ้างว่า เหตุรถปาดหน้ากันนั้น ผู้ตายเคยก่อเหตุทำร้ายร่างกายชกหน้าผู้ก่อเหตุจริง แต่ไม่มีการรุมทำร้ายและใช้สนับมือแต่อย่างใด ส่วนที่กล่าวอ้างว่าผู้ก่อเหตุมีอาการบาดเจ็บถึงขั้นตาบอดไม่เป็นความจริง

ด้านนายกสภาทนายความแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตครั้งนี้ ทั้งนี้ในเรื่องทางคดี ตอนนี้ฝั่งครอบครัวผู้เสียชีวิตยังไม่ได้เข้ามาร้องเรียนอะไร แต่ยินดีที่จะรับเรื่องถ้าเข้ามา ส่วนทนายความที่ได้รับบาดเจ็บ ทางสภาทนายความจะให้ความช่วยเหลือเต็มที่ ในเรื่องดูแลค่ารักษาพยาบาลและการเข้าเป็นโจทก์ร่วมคดีในชั้นศาล เพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้ก่อเหตุ อีกทั้งเตรียมพาทนายความที่ได้รับบาดเจ็บไปยื่นเรื่องขอรับค่าทดแทนแก่ผู้เสียหายในคดีอาญาจากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ส่วนเรื่องข้อบกพร่องของตำรวจในการระงับเหตุ เรื่องนี้ก็เตรียมจะเสนอพูดคุยกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อไปเพื่อให้แก้ปัญหานี้

...

นอกจากนี้ ในนามสภาทนายความ ได้เสนอความเห็นต่อกรณีที่เกิดขึ้นว่า

1.อยากให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัยในสถานีตำรวจโดยเฉพาะการนำตัวคู่กรณีมาสอบสวนหรือเจรจาไกล่เกลี่ยที่สถานี ควรจะต้องตรวจค้นอาวุธของทุกคนก่อนเข้าพื้นที่ เพื่อความปลอดภัยและป้องกันเหตุลักษณะนี้ซ้ำซาก อาจจะไม่ต้องถึงขั้นติดเครื่องสแกนอาวุธ เพราะสิ้นเปลืองงบประมาณ แต่อยากให้ตำรวจเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยให้เข้มงวดมากขึ้น

2.อยากให้ทบทวนการออกใบอนุญาตพกพาอาวุธปืนแก่ประชาชน รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐที่ต้องพกพาอาวุธใหม่ทั้งหมด ควรจะต้องปรับปรุงเกณฑ์มาตรฐานการออกใบอนุญาตใหม่ มีการคัดกรองประวัติอาชญากรรรม ประวัติเสพยาเสพติด และผลตรวจสุขภาพจิตของผู้ขอ เพื่อป้องกันเหตุซ้ำซาก โดยกรณีกราดยิงที่หนองบัวลำภูเป็นตัวอย่างสำคัญเช่นเดียวกับเคสนี้


3.เพื่อความปลอดภัยและการป้องกันตัวแก่ทนายความที่อาจจะมีความเสี่ยงอันตรายต่อชีวิต อยากให้กรมการปกครองผ่อนปรนอนุญาตให้ทนายความมีสิทธิพกพาอาวุธปืนได้เฉพาะกรณีเสี่ยงเพื่อป้องกันตัวเองและเพิ่มความปลอดภัยแก่ทนายความ เช่น ทนายความที่ต้องว่าความคดีที่คู่กรณีอาจจะใช้อาวุธหรือกรณีที่ว่าความในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นต้น.

...