สตม. โชว์ผลงานระดมกวาดล้างใหญ่ ก่อนประชุมสุดยอดผู้นำเอเปก 2022 บุกรวบต่างด้าวชาวจีน ไต้หวัน หลบหนีเข้าเมือง และขยายผลการกระทำผิด พบมีหลายรายเป็นผู้ต้องหาตามหมายอินเตอร์โพล นำส่งดำเนินคดี และผลักดันออกนอกราชอาณาจักร

เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 65 พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบ.สตม. พร้อม พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม. พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม. และ พ.ต.อ.อาภากร โกมลสุทธิ รอง ผบก.สส.สตม. แถลงข่าวการระดมกวาดล้างอาชญากรรมก่อนการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก โดยมีเป้าหมายหลัก เป็นคนต่างด้าวที่กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง และเมื่อมีการจับกุมผู้กระทำความผิดได้แล้ว ให้ขยายผลการจับกุมทุกราย ซึ่งผลการดำเนินการระดมกวาดล้างอาชญากรรม ในห้วงระหว่างวันที่ 10 ต.ค. - 12 พ.ย. 65 มีดังนี้

1. สามารถจับกุมคนต่างด้าวอยู่เกินกำหนดอนุญาต (Overstay) ได้ทั้งสิ้น 785 ราย จับกุมคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง 1,249 ราย 2. ดำเนินการประชาสัมพันธ์การแจ้งที่พักอาศัยตามมาตรา 38 แห่ง พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 ในพื้นที่ กทม. จำนวน 2,723 แห่ง และมีผลการเปรียบเทียบปรับ กรณีเจ้าบ้านหรือผู้ครอบครองเคหสถานไม่แจ้งที่พักอาศัยกรณีรับคนต่างด้าวเข้าพักอาศัยตาม ม.38 จำนวน 587 ราย 3. สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย บก.ตม.2 มีการปฏิเสธคนต่างด้าวในการขอเข้ามาในราชอาณาจักรไทย จำนวน 2,453 ราย

...

4. สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ร่วมกับ ตำรวจท่องเที่ยว เปิดปฏิบัติการ Operation X-ray พื้นที่ หาคนต่างด้าวที่อยู่ในราชอาณาจักรโดยผิดกฎหมาย ในวันพุธที่ 9 พ.ย. 65 ณ โรงแรมรามาการ์เด้น เขตหลักสี่ กรุงเทพฯ โดยมี พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. เป็นประธาน และมีข้าราชการตำรวจในสังกัดสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จำนวน 500 นาย และข้าราชการตำรวจสังกัดตำรวจท่องเที่ยว จำนวน 50 นาย รวมข้าราชการตำรวจที่เข้าร่วมทั้งสิ้น 550 นาย ออกตรวจ Operation X-ray พื้นที่จุดเสี่ยงในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีผลการปฏิบัติ สามารถจับกุมบุคคลต่างด้าวที่อยู่เกินกำหนดอนุญาต (Overstay) จำนวน 7 ราย จับกุมคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง จำนวน 1 ราย เปรียบเทียบปรับเจ้าบ้านหรือผู้ครอบครองเคหสถานไม่แจ้งที่พักอาศัยกรณีรับคนต่างด้าวเข้าพักอาศัยตาม ม.38 จำนวน 17 ราย

5. บก.สส.สตม. จับกุมชาวจีนมีหมายจับข้อหาสวมบัตรประชาชน โดยสามารถจับกุม นายเชา (นามสมมติ) อายุ 33 ปี ตามหมายจับ ศาลจังหวัดปัตตานี ที่ จ.125/2565 ลง 20 เม.ย. 64 ข้อหา แจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน, เป็นผู้สนับสนุนในการขอมีบัตรโดยมิได้มีสัญชาติไทยฯ โดยการนำหมายค้นศาลอาญาเข้าค้นอาคารพาณิชย์ ย่านสุทธิสาร ถนนวิภาวดีรังสิต เขตพญาไท กรุงเทพฯ พร้อมทั้งได้ตรวจยึดของกลาง จำนวนหลายรายการ เช่น ชุดเครื่องแบบทหารพร้อมติดป้ายชื่อของผู้ต้องหา, คอมพิวเตอร์ 2 เครื่อง, รถยนต์ จำนวน 2 คัน, โฉนดที่ดินจำนวน 3 ใบ, บัตรประชาชนจีน 1 ใบ , หนังสือเดินทาง จำนวน 3 เล่ม เป็นต้น เพื่อนำส่งพนักงานสอบสวน ทำการตรวจสอบว่ามีการกระทำความผิดอื่นใดอีกหรือไม่ จากการสืบสวนก่อนจับกุม พบว่าผู้ต้องหามักใช้รถติดธงประจำประเทศไทยและจีน คล้ายกับรถของสถานทูต และยังมีรถนำขบวนอีก 1 คัน โดยคาดว่าเป็นทะเบียนรถปกติ ไม่ใช่รถของสถานทูตแต่อย่างใด จึงเชื่อว่าเป็นการพยายามทำให้ดูเหมือนรถของสถานทูตเท่านั้น และได้จับกุมนายศตวรรษ (นามสมมติ) อายุ 36 ปี สัญชาติไทย คนขับรถของนายเชา (นามสมมติ) พร้อมของกลาง วิทยุสื่อสารยี่ห้อ SRENDER จำนวน 1 เครื่อง ในข้อหา มีและใช้งานเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับอนุญาตจากการสืบสวนขยายผล ได้ขอหมายค้นศาลจังหวัดธัญบุรีเข้าตรวจค้นบ้านนายเชา (นามสมมติ) บริเวณริมถนนภายใน หมู่ 9 ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา จว.ปทุมธานี สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ 2 ราย ดังนี้

6. บก.สส.สตม. ร่วมกับตำรวจจีนจับกุมผู้ต้องหาตามหมายอินเตอร์โพล (RED NOTICE) สัญชาติจีน จำนวน 2 ราย นำส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อผลักดันออกนอกราชอาณาจักร มี นายหลี่ (นามสมมติ) สัญชาติจีน อายุ 27 ปี และนายฮู (นามสมมติ) สัญชาติจีน อายุ 40 ปี ซึ่งมีหมายจับของสาธารณรัฐประชาชนจีน และมีหมายอินเตอร์โพล (RED NOTICE)

7. บก.สส.สตม. จับกุมนายจาง (นายสมมติ) สัญชาติไต้หวัน จากการตรวจสอบหนังสือเดินทางพบว่า นายจาง (นามสมมติ) ใช้หนังสือเดินทางประเทศกัมพูชา เดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อ 30 ต.ค. 65 ได้รับอนุญาตประเภท ผ.ผ.14 เมื่อนำข้อมูลตรวจสอบในระบบสารสนเทศ (Biometric) ของสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองพบว่า มีใบหน้าคล้ายกันกับนาย โด (นามสมมติ) สัญชาติไต้หวัน ซึ่งใช้หนังสือเดินทางไต้หวันเข้ามาในราชอาณาจักร น่าเชื่อว่าเป็นบุคคลเดี่ยวกัน และจากการประสานงานไปยังสำนักงานเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไทเป ประจำประเทศไทย พบว่า หนังสือเดินทางของนายโด (นามสมมติ) เป็นของบุคคลอื่น และจากการสืบสวนยังทราบว่านายจาง (นามสมมติ) เป็นหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ประเทศฟิลิปปินส์ จึงถือว่ามีพฤติการณ์น่าเชื่อว่าเป็นภัยต่อสังคม หรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือความปลอดภัยของประชาชนฯ บก.สส.สตม. จึงเพิกถอนการอนุญาตอยู่ในราชอาณาจักร และนำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. ผลักดันออกนอกราชอาณาจักร.

...