"เจ๊นิกกี้ ตลาดไท" แจ้งตำรวจคลองหลวงจับ น้อง หลาน และสะใภ้ รวมหัวขโมยสินค้าบริษัทแอบขายเสียหายกว่า 3 ล้านบาท ตร.เตรียมเรียกผู้ร่วมขบวนการรับทราบข้อหา 17 ต.ค. 65

เมื่อวานนี้ (15 ต.ค. 65) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.ณิชากร ธัญญชีพ หรือ "เจ๊นิกกี้ ตลาดไท" อายุ 50 ปี เจ้าของธุรกิจซื้อขายพลาสติก และเจ้าของร้านขายอาหารกาแฟชื่อดังย่านปทุมธานี เดินทางมาที่ สภ. คลองหลวง จ.ปทุมธานี พร้อมนำหลักฐานและของกลาง รวมทั้งมาให้ปากคำเพิ่มกับ ร.ต.อ.ธีรศักดิ์ แสนโท พนักงานสอบสวน เพื่อขอให้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาทั้งหมดที่ร่วมกันก่อเหตุลักทรัพย์และรับของโจร พร้อมขอให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำการสืบสวนขยายผลว่ามีใครอยู่เบื้องหน้าเบื้องหลังในการที่ตนถูกก่อเหตุครั้งนี้อีกด้วย

เจ๊นิกกี้ กล่าวว่า สืบเนื่องมาจากตนได้เปิดบริษัทรับซื้อขายพลาสติกและของเก่า ตั้งอยู่ที่เลขที่ 21/4 หมู่ 14 ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี โดยเปิดทำธุรกิจนี้มานานกว่า 10 ปีและเปิดร้านขายอาหารและกาแฟชื่อดังย่านคลองหลวง ส่วนเหตุที่มาแจ้งความเพื่อเอาผิดผู้ก่อเหตุนั้นสืบเนื่องมาจาก เงินในบริษัทฯ เกี่ยวกับพลาสติกนั้นได้พบว่าหายไปจำนวนมาก โดยเมื่อต้นปี 65 ตนได้เห็นพฤติกรรมของเสมียนสาวของบริษัทคนหนึ่ง มีท่าทางเกรี้ยวกราดและพูดจาไม่ดีกับคนงานหลายครั้ง จนเริ่มมีคนงานอยากลาออก ซึ่งตนก็เคยได้ดูในกล้องวงจรปิดของบริษัท จากนั้นตนจึงได้เดินทางเข้ามาดูแล้วสอบถามข้อเท็จจริงจนทราบว่า น.ส.โอ (นามสมมติ) เสมียนคนดังกล่าว มีพฤติกรรมเหมือนไม่เกรงใจใครแม้แต่ตนเข้ามาพูดคุย และมีพฤติกรรมอีกหลายอย่างที่น่าสงสัย หลังจากที่ตนให้นายเอ (ขอสงวนชื่อนามสกุลจริง) หลานชาย มาเป็นหัวหน้าพนักงานและคนงานทั้งหมด ซึ่งทั้งที่ก่อนหน้านี้ น.ส.โอ ไม่เคยมีปัญหาและพฤติกรรมอย่างนี้ จนสุดท้ายตนก็ต้องให้เสมียนสาวคนดังกล่าวพ้นจากหน้าที่

...

พร้อมกันนี้ก็ได้ให้ น.ส.บี (ขอสงวนชื่อสกุลจริง) ลูกสะใภ้มาทำหน้าที่แทนพร้อมกับนายซี (ขอสงวนชื่อนามสกุลจริง) น้องชายแท้ๆ ของตนมาเป็นเสมียนบัญชี แต่ต่อมาเมื่อ 3-4 เดือนที่ผ่านมา ตนได้มีการขอตรวจสอบเกี่ยวกับบัญชีและยอดรายรับรายจ่ายพร้อมบัญชีจำนวนสินค้าที่ได้ซื้อเข้าและขายออกไปปรากฏว่าสินค้าได้หายไปจำนวนมากแต่เงินเข้าบริษัทเพียงเล็กน้อย โดยเฉพาะในเดือนตุลาคมนี้ ตนสั่งซื้อสินค้าเข้ามา 1.4 ล้านบาทแต่ปรากฏว่าสินค้าหมดแต่มีรายรับเข้ามาเพียง 400,000 บาท จึงเกิดความเอะใจสงสัย จากนั้นตนพร้อมสามีจึงได้แอบตรวจสอบและตรวจเช็กทางลับ พร้อมขอดูข้อมูลหลักฐานต่างๆ จากของพนักงานในบริษัท จึงพบว่าได้มีการนำสินค้าของบริษัทออกไปขายโดยไม่นำเงินเข้ามาในบริษัท

จากนั้นเมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2565 ที่ผ่านมา ได้นำข้อมูลหลักฐานมาพบ พ.ต.ท.สิรภพ บัวหลวง สว.สืบสวน สภ.คลองหลวง พร้อมนำตัวหลานชาย น้องชาย และ ลูกสะใภ้ รวมทั้งนายมาย คนขับรถส่งของของบริษัท ไปสอบสวน โดยทั้งหมดให้การรับสารภาพว่าได้ร่วมกันนำทรัพย์สินของบริษัทไปขายจริง และทำมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งทุกครั้งนั้นจะให้นายมาย ซึ่งเป็นคนขับรถบรรทุก 6 ล้อ หรือ รถกระบะตู้ทึบนำสินค้าไปส่งให้กับลูกค้า โดยที่นายมายไม่ทราบว่าพวกตนนั้นนำไปแอบขาย

หลังจากเจ้าหน้าที่ได้สอบปากคำเรียบร้อย และได้ทำบันทึกลงประจำวันไว้เป็นหลักฐาน และบันทึกในการรับสารภาพจากนั้นในช่วงเช้าวันนี้ (15 ต.ค.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ให้ผู้ร่วมก่อเหตุทั้งหมดนำพาไปยังร้านที่รับซื้อสินค้าในเขตพื้นที่ ต.พยอม อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งปรากฏว่าเมื่อไปถึงพบว่าโรงงานที่รับซื้อนั้นเป็นของ น.ส.โอ เสมียนคนที่เคยทำงานอยู่ที่บริษัท โดยพบว่ามีสินค้าอยู่ในร้านดังกล่าว เจ้าหน้าที่ฯ จึงได้ทำการตรวจยึดและนำมาเก็บไว้เป็นของกลางเพื่อจะตรวจสอบ หลังจากนั้นจึงได้นัดหมายให้ผู้ที่ร่วมขบวนการทั้งหมด ให้มารับทราบข้อกล่าวหาอีกครั้งในวันอังคารที่ 17 ต.ค. นี้ต่อไป

...

สำหรับทรัพย์สินที่เสียหายจากการตรวจสอบในเบื้องต้นพบว่า มีมูลค่ากว่า 3 ล้านบาทโดย เจ๊นิกกี้ ยังกล่าวว่าตนไม่คิดว่าคนใกล้ตัวซึ่งเป็นญาติแท้ๆ และลูกสะใภ้ จะกล้ามาทำกับตนขนาดนี้และจะขอดำเนินคดีให้ถึงที่สุด.