ศาลฎีกานักการเมืองยกฟ้อง จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ สมัย มท.1 รับข้อเสนอม็อบเสื้อเเดง ชี้ คดีถูกสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาด ตามคำสั่งอัยการแล้ว ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจฟ้องซ้ำคดี 116 เนื่องจาก ก.ม.เก่าไม่ได้ให้อำนาจ

ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อช่วงบ่าย วันที่ 2 ก.ย. 2565 ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยื่นฟ้อง นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีต รมว.มหาดไทย กรณีวันที่ 23 ก.พ. 57 จำเลยได้รับรายงาน สถานการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ที่อาคารลิปตพัลลภฮอลล์ สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดนครราชสีมา แต่จําเลยไม่ได้มีข้อสั่งการอย่างไร จำเลยกลับเดินทางไปกล่าวปราศรัยยอมรับข้อเสนอที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ สรุปให้ฟังเป็นเหตุให้มีกลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางเข้ามาชุมนุมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปิดล้อมสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีการนำป้ายผ้าไวนิลที่ปรากฏข้อความในลักษณะแบ่งแยกประเทศไปติดตามท้องที่ต่างๆ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มาตรา 116(2) (3) และข้อหาอื่นๆ

จําเลยไม่มาศาล และศาลได้ออกหมายจับจําเลยแล้ว

ข้อเท็จจริงฟังว่า ช่วงเกิดเหตุจำเลยเป็น รมว.มหาดไทย มีการชุมนุมทางการเมือง พนักงานปกครองจัดทำบันทึกรายงานสถานการณ์ข่าวการ ชุมนุมเสนอ จําเลยแต่ขณะนั้นยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดบ่งชี้ว่าจะมิใช่เป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ทั้งเป็นการนัดชุมนุมภายในอาคารเพียงชั่วคราว

พนักงานฝ่ายปกครองและเจ้าพนักงานตำารวจได้ดูแลสถานการณ์การชุมนุมตามหน้าที่อยู่แล้ว จำเลยจึงหาต้องมีข้อสั่งการในเรื่องเดียวกันซ้ำอีก กลุ่ม นปช.ได้แสดงออกซึ่งการไม่ยอมรับการกระทําของฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาลแล้วก็ได้ยุติการชุมนุมเอง

ไม่มีพยานโจทก์ปากใดยืนยันว่าจําเลยควรจะต้องมีข้อสั่งการอย่างใด จึงจะถือได้ว่าเป็นการบริหารจัดการที่มีขอบเขต และกำหนดระยะเวลาเหมาะสมไม่เกินกว่ากรณีแห่งความจําเป็นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย

...

ส่วนข้อที่จําเลยกล่าวปราศรัยยอมรับข้อเสนอของกลุ่ม นปช.นั้นไม่ปรากฏว่าจําเลยได้รับทราบเนื้อหาคำปราศรัยในลักษณะให้มีการแบ่งแยกประเทศของแกนนำคนอื่น และกรณีหาใช่เป็นเหตุอันกำลังจะเกิดขึ้นจริงที่จำเลยจะต้องเร่งสั่งการ เจ้าพนักงานก็มิได้มีผู้ใดถือเอาคำปราศรัยของจำเลยมาเป็นข้อสั่งการในการปฏิบัติราชการ ซึ่งภาวะเช่นนั้น ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทําความผิดตามฟ้อง 

ประกอบกับ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 เพิ่งบัญญัติให้คณะพนักงานอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องจำเลย คำสั่งของพนักงานอัยการเป็นคําสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาด มีผลเท่ากับว่าได้มีการดำเนินการต่อจำเลยในการกระทําความผิดข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเสร็จสิ้นแล้ว และเห็นว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.ย่อมไม่มีอำนาจรับหรือยกเรื่องเกี่ยวกับการกระทําของจำเลยในข้อหาความผิดตามฟ้องขึ้นไต่สวนอีก โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง จึงพิพากษายกฟ้อง.