ดีเอสไอ รับหนังสือจากอัยการสูงสุด แจ้งคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้อง “ชัยวัฒน์” กับพวกในคดีฆาตกรรม บิลลี่ พอละจี รักจงเจริญ แกนนำชุมชนกะเหรี่ยงฯ โดยอัยการจะยื่นฟ้องเพื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาลต่อไป
เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 65 ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ทำการสืบสวน กรณี การหายตัวไปของ นายพอละจี หรือ บิลลี่ รักจงเจริญ แกนนำชุมชนกะเหรี่ยงบ้านโป่งลึก-บางกลอย อำเภอแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี ที่หายตัวไปภายหลังถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ร่วมกันจับกุมในความผิดอาญา กรณี นำน้ำผึ้งซึ่งเป็นของป่าออกจากเขตอุทยานแห่งชาติฯ เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 ซึ่งคณะกรรมการคดีพิเศษ ได้มีมติให้กรณีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษที่ 13/2565
จากการสอบสวนมีพยานหลักฐานรับฟังได้ว่า เป็นการฆาตกรรม โดยอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มีความเห็นควรฟ้อง นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตหัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน กับพวก จำนวน 4 คน ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแก่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้, ฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดๆ ให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย, ฐานเป็นเจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งโดยมิชอบ ข่มขืนใจเพื่อให้บุคคลใดมอบให้หรือหามาให้ซึ่งทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่ตนเอง, ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
...
ฐานเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต และความผิดฐานอื่นที่เกี่ยวข้อง ส่งพนักงานอัยการ และต่อมาได้มีคำสั่งไม่ฟ้องนายชัยวัฒน์ กับพวก ในความผิดเกี่ยวกับการฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้มีความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องดังกล่าว และส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมความเห็นแย้งไปยังอัยการสูงสุด เพื่อชี้ขาดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 ประกอบพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 มาตรา 34 ตามที่ได้เสนอข่าวต่อสาธารณชนก่อนหน้านี้แล้วนั้น
บัดนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้รับหนังสือจากสำนักงานอัยการสูงสุด แจ้งว่า อัยการสูงสุดได้มีคำสั่งชี้ขาดให้ฟ้อง นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร กับพวก ฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่นเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ร่วมกันโดยมีอาวุธข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั่นเอง ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่นหรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย
ร่วมกันโดยทุจริตหรืออำพรางคดีกระทำการใดๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จ ในประการที่น่าจะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 289 (4) (7), 309, 310 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ทวิ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 21) พ.ศ. 2542 มาตรา 5 ตามที่อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษมีความเห็นแย้ง หลังจากที่พนักงานอัยการจะได้นำผู้ต้องหาทั้งหมดยื่นฟ้องต่อศาล และเข้าสู่การพิจารณาของศาลต่อไป
คดีนี้เป็นคดีสำคัญที่มีผลกระทบอย่างรุนแรง ต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ที่มีเจ้าหน้าที่ของรัฐในระดับสูงเข้าไปเกี่ยวข้อง และถือเป็นคดีบังคับสูญหายที่สำคัญ ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษ มีหน้าที่ทำความจริงให้ปรากฏ ในการสืบสวนสอบสวนได้มีการบูรณาการกับหลายภาคส่วน ทางภาครัฐ เอกชน รวมทั้งมหาวิทยาลัย มีการนำเทคโนโลยีใหม่หลายประการเข้ามาช่วยในการสืบสวนสอบสวน รวมทั้งนำเทคนิคทางนิติวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสารพันธุกรรมประเภทไมโทคอนเดรีย ประกอบการสืบสวนสอบสวน ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษมีความมุ่งมั่นในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมพิเศษ ด้วยความโปร่งใสเป็นธรรม และมีประสิทธิภาพ.