ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง 6 จำเลยคดีร่วมกันเป็นอั้งยี่ กรณีสมคบก่อการร้ายปี 58 โอนคดีมาจากศาลทหาร โดยพยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ส่วนจำเลยที่ 4 รับสารภาพคดีอั้งยี่ติดคุกมา 7 ปี เลยต้องปล่อยตัว
ที่ศาลอาญา วันที่ 24 มี.ค.65 ศาลนัดฟังคำพิพากษา คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 9 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางสุภาพร มิตรอารักษ์, นางวาสนา บุษดี, น.ส.ณัฏฐิดา มีวังปลา หรือ "แหวน" ที่เป็นพยานคดี 6 ศพวัดปทุมฯ, นายสุรพล เอี่ยมสุวรรณ, นายวสุ เอี่ยมละออ และนายสมชัย อภินันท์ถาวร เป็นจำเลยที่ 1-6 ในข้อหาเป็นอั้งยี่, ร่วมกันสมคบก่อการร้ายฯ, มียุทธภัณฑ์เครื่องกระสุนปืนฯ และร่วมกันใช้ให้ทำผิดฐานฆ่าผู้อื่นฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/2, 209, 288, 289, 83, 84, 91 พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 มาตรา 55 พ.ร.บ.ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ.2530 มาตรา 5, 7, 15, 42 คดีนี้เป็นคดีที่โอนมาจากศาลทหาร
คำฟ้องบรรยายว่า เมื่อวันที่ 1-5 ก.พ. 2558 จำเลยที่ 1-6 สมคบกันเพื่อก่อการร้าย ตระเตรียมลูกระเบิดขว้างชนิดสังหารแบบ RGD5 เพื่อนำไปใช้ก่อเหตุขว้างใส่สถานที่สำคัญ ในวันและเวลาที่อยู่ระหว่างประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร โดยจำเลยที่ 1-6 ใช้จ้างวานบุคคลต่างๆ ให้นำลูกระเบิดไปขว้างใส่บริเวณสวนลุมพินี, สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีจตุจักร หรือศาลอาญา แห่งใดแห่งหนึ่ง แต่ผู้ถูกใช้มิได้กระทำการตามที่ถูกใช้ ต่อมาวันที่ 12 มี.ค. 2558 เจ้าพนักงานจับจำเลยที่ 1 ได้พร้อมระเบิดชนิดดังกล่าวจำนวน 1 ลูก เป็นของกลาง
ศาลพิเคราะห์ว่าข้อเท็จจริงฟังว่า พยานโจทก์เป็นเจ้าพนักงานตำรวจเบิกความว่า มีการจ้างวานใช้ให้กลุ่มจำเลยขว้างระเบิดไปในสถานที่ต่างๆ เช่น กรมทหารราบที่ 11 โรงแรมย่านปทุมวัน ศาลอาญา สถานีรถไฟใต้ดิน ย่านจตุจักร เป็นต้นโดยให้ค่าจ้างจุดละ 10,000 บาท แต่ผู้ถูกใช้ไม่ลงมือกระทำตามที่ถูกใช้ ต่อมา นอกจากนี้พยานโจทก์มีเพียงเจ้าพนักงานตำรวจมาเบิกความพยานอื่นๆ เป็นพยานซัดทอดถือว่าเป็นพยานบอกเล่าและฟังไม่ได้
...
จำเลยที่ 4 ให้การรับสารภาพข้อหาเป็นอั้งยี่ พิพากษาว่าจำเลยที่ 4 มีความผิดเฉพาะฐานเป็นอั้งยี่จำคุก 4 ปี คำรับสารภาพเป็นประโยชน์ลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือ 2 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 1 ถึง 3 และ 5-6 ส่วนคำขอข้อหาอื่นให้ยกฟ้องทั้งหมด
โดยภายหลังฟังคำพิพากษา นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความเปิดเผยว่า ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง จำเลยที่ 1,2,3,5,6 ข้อหาร่วมกันเป็นอั้งยี่ ร่วมกันตระเตรียมการหรือสมคบกันเพื่อก่อการร้าย ครอบครองยุทธภัณฑ์ พยานหลักฐานโจทก์รับฟังไม่ได้ เนื่องจากไม่มีประจักษ์พยานมายืนยันตามคำกล่าวอ้างของ พล.ต.วิจารณ์ จดแตง และ พล.ต.ต.สุรศักดิ์ ขุนณรงค์ (ตำแหน่งขณะนั้น) พยานที่ซักถามในค่ายทหาร มีเพียงบันทึกซักถามเท่านั้น นอกจากนี้ การโอนเงินก็ไม่สามารถพิสูจน์ยืนยันได้ว่าโอนเงินไปด้วยวัตถุประสงค์ใด จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลยทั้งหมด
ส่วนจำเลยที่ 4 ติดคุกมานานจึงรับสารภาพข้อหาอั้งยี่ ศาลลงโทษจำคุกจำเลยที่ 4 ตามที่รับสารภาพ 4 ปี ลดกึ่งหนึ่ง 2 ปี แต่ถูกคุมขังมา แล้ว 7 ปี ส่วนข้อหาตระเตรียมหรือสมคบกันร่วมกันก่อการร้ายและข้อหาอื่นยกฟ้องเช่นกัน จึงต้องปล่อยตัวต่อไป.