ครอบครัวชาวสวิส ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกโอนเงิน 57,000 บาท เล่นใหญ่ แต่งชุดตำรวจวิดีโอคอล ผ่านไลน์ "สถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต" กุเรื่องข่มขู่จำคุกถึง 10 ปี จนเหยื่อหลงเชื่อ
เมื่อเวลา 14.30 น. วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2565 พล.ต.ต.เสริมพันธ์ุ ศิริคง ผบก.ภ.จว.ภูเก็ต ได้รับการร้องเรียนจากครอบครัวชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในภูเก็ต ว่าถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองภูเก็ต โดยอ้างว่ามีคนนำหมายเลขพาสปอร์ต หรือหนังสือเดินทางไปทำผิดกฎหมาย พร้อมกับขู่บังคับว่าจะติดคุก โดยใช้วาจาทั้งหว่านล้อม ทั้งข่มขู่ จนรู้สึกตกใจ หวาดกลัว จนกระทั่งท้ายที่สุดถูกหลอกให้โอนเงินจำนวน 57,000 บาท
จากการสอบถาม นายอลัน ก่อนย่า อายุ 58 ปี ชาวสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตนและครอบครัวอาศัยและทำธุรกิจอยู่ที่ จ.ภูเก็ต มากว่า 25 ปี เคยได้เห็นแต่ในข่าวว่ามีแก๊งมิจฉาชีพโทรศัพท์หลอกให้ผู้หลงเชื่อโอนเงินไป ไม่นึกว่าจะมาเจอเหตุการณ์แบบนี้กับตัวเอง ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 ก.พ.65 เวลา 17.00-22.00 น. ได้มีผู้หญิงโทรศัพท์มาจากบริษัทขนส่งชื่อดังแห่งหนึ่ง แอบอ้างว่า พัสดุที่ส่งของตนมีปัญหา-ตนมีการส่งของผิดกฎหมาย หลังจากนั้นได้มีอีกคนหนึ่งเป็นผู้ชายโทรมา แอบอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยอ้างว่ามีคนร้ายได้ใช้หมายเลขพาสปอร์ตของตนไปดำเนินการในลักษณะดังกล่าว
จากนั้นมิจฉาชีพที่แอบอ้างเป็นตำรวจรายนี้บอกว่า อยากคุยกับคนที่พูดภาษาไทยได้ ซึ่งในขณะนั้นมีเพียงลูกชายวัย 14 ปี น้องอนันดาที่พูดภาษาไทยได้ ตนจึงให้ลูกชายมาพูดคุย โดยคุยกันผ่านแอปพลิเคชันไลน์ ที่ใช้ชื่อว่า “สถานีตำรวจภูธรเมืองภูเก็ต” และมีการเปิดวิดีโอคอลคุยกัน ซึ่งมิจฉาชีพรายดังกล่าวสวมเครื่องแบบคล้ายกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ แต่สวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา และได้บอกว่าขณะนี้จับตัวคนร้ายที่ใช้พาสปอร์ตของพ่อ (นายอลัน) ที่ไปกระทำผิดกฏหมายได้แล้ว แต่อยากจะขอตรวจสอบข้อมูลอื่นๆ ของนายอลันก่อน และขอให้ทางนายอลันส่งข้อมูลหลักฐานส่วนตัวไปให้ อาทิ หมายเลขพาสปอร์ต, ใบขับขี่, เลขท้ายของสมุดธนาคาร เป็นต้น
...
และได้อ้างว่าตอนนี้คดีอยู่ที่สำนักงานดีเอสไอ ดำเนินการตรวจสอบอยู่ และรวมถึงขอให้มีการโอนเงินเพื่อจะทำการตรวจสอบว่าเงินในบัญชีของพ่อ (นายอลัน) มาจากไหน และยังได้มีการข่มขู่ว่า หากไม่โอนจะผิดกฎหมาย และจะต้องจำคุกถึง 10 ปี ซึ่งทางมิจฉาชีพรายดังกล่าวบอกว่าจะมีการตรวจสอบเงินที่โอนมาแล้วจะโอนกลับคืนมาให้ภายใน 30-45 นาที และยังถามอีกว่า มีบัญชีอื่นๆ อีกหรือเปล่าอย่าง เช่น บัญชีในต่างประเทศ ซึ่งทางครอบครัวเองก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ ตกใจมาก และกลัวมาก นึกว่าเป็นตำรวจจริงๆ จากนั้นจึงหลงเชื่อ และได้ตัดสินใจโอนเงินไปทั้งหมดจำนวน 57,000 บาท แต่หลังจากนั้นก็เงียบหายไป ตนจึงได้เข้าไปสอบถามญาติเลยได้คำตอบว่าถูกกลุ่มมิจฉาชีพแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้โอนเงินไปแน่นอน หลังจากนั้นตนพร้อมครอบครัวได้เข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองภูเก็ต เพื่อดำเนินการตรวจสอบ
นายอลัน ยังกล่าวอีกว่า หากมีโทรศัพท์โทรมาในลักษณะดังกล่าว อย่าหลงเชื่อใดๆ ทั้งสิ้น และอย่าส่งหรือโอนเงินไปเด็ดขาด เพราะว่าจากเหตุการณ์ดังกล่าว ตนก็อยากจะให้เป็นตัวอย่าง และไม่อยากเห็นใครต้องสูญเสียเงินไปให้กับกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้ อีกทั้งอยากขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการจับกุมกลุ่มคนเหล่านี้มาดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้