การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขยายวงกว้างกว่าที่คิด เป็นวิกฤติที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตคนไทยทั้งประเทศ มาตรการควบคุมการระบาดที่เข้มข้น ทำให้คนตกงาน ขาดรายได้ ค้าขายฝืดเคืองยากลำบาก คนเริ่มเป็นหนี้เป็นสิน ไม่ใช่แค่ลำพังชีวิตคนทั่วไป ตำรวจเองได้รับผลกระทบหนักจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19
ภายหลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว กังวลปัญหาหนี้สินครัวเรือนจากวิกฤติโควิด-19 ที่ยืดเยื้อมากว่า 2 ปี ตั้งเป้าให้ปี 2565 เป็นปีแห่งการแก้หนี้ภาคครัวเรือนให้สำเร็จให้ได้ โดย 2 กลุ่มอาชีพเป้าหมายสำคัญ มีปัญหาหนี้สินที่หมักหมมมาช้านาน นั่นคือ กลุ่มข้าราชการครูและเจ้าหน้าที่ตำรวจ สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปเร่งดำเนินการแก้ปัญหา
ผงะ ตำรวจทั้งกรมยอดหนี้รวม 2.7 แสนล้านบาท
วันที่ 3 มกราคม 2565 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) มีรายงานว่า เมื่อวันที่ 2 พ.ย. 64 พล.ต.ต.สุรชัย เจ็ดพี่น้องร่วมใจ ผบก.สก. มีบันทึกข้อความส่วนราชการ สก. ที่ 0009.332/4395 ลงวันที่ 29 พ.ย.64 ถึง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. แจ้งผลสำรวจข้อมูลสถานภาพกำลังพลข้าราชการในภาพรวมเมื่อ ก.ย.64 มีข้าราชการตำรวจทั้งสิ้น 219,551 คน แยกเป็นชั้นสัญญาบัตร 89,430 คน ชั้นประทวน 130,121 คน เป็นหนี้สินกับสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจ 245,535 ราย วงเงินหนี้สินประมาณ 203,217 ล้านบาท เหตุผลที่จำนวนคนกู้มากกว่าจำนวนกำลังพลปัจจุบัน เนื่องจากตำรวจบางรายที่เกษียณอายุราชการแล้วยังต้องผ่อนชำระอยู่ และแต่เดิมเปิดโอกาสให้ตำรวจ 1 ราย เป็นสมาชิกได้หลายสหกรณ์
...
ส่วนข้อมูลหนี้สินกับสถาบันการเงิน ได้แก่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ มีผู้เป็นหนี้สินประมาณ 37,197 ราย วงเงินหนี้สิน 28,129 ล้านบาทเศษ ธนาคารออมสิน มีผู้เป็นหนี้สินประมาณ 36,102 ราย วงเงินหนี้สิน 21,140 ล้านบาทเศษ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) มีผู้เป็นหนี้สิน 58,936 ราย วงเงินหนี้สิน 20,500 ล้านบาทเศษ รวมยอดหนี้สินทั้งหมด 272,986 ล้านบาทเศษ
กำลังพล 205,840 คน เป็นหนี้ 80%
ต่อมาวันที่ 15 พ.ย. 64 ได้สำรวจข้อมูลสถานภาพ กำลังพลข้าราชการตำรวจ มีทั้งสิ้น 205,840 คน ตำรวจไม่มีหนี้สิน 41,189 คน คิดเป็นร้อยละ 20 ตำรวจเป็นหนี้สิน 164,291 คน ได้จัดกลุ่มหนี้สินออกเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มสีเขียว 161,868 คน คิดเป็น 78.8 เปอร์เซ็นต์ กลุ่มสีเหลือง 1,751 คน คิดเป็น 0.9 เปอร์เซ็นต์ กลุ่มสีแดง 672 คน คิดเป็น 0.3 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้ ในที่ประชุมคณะทำงานแก้ไขปัญหาหนี้สินฯ เมื่อ 23 พ.ย.64 ได้พิจารณาแนวทางแก้ไข ปัญหา เห็นควรให้คณะทำงานฯ ระดับ ตร. คัดเลือกสหกรณ์ต้นแบบนำร่องในการแก้ไขปัญหา รวมทั้งพิจารณาแหล่งเงินกู้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำให้กับสหกรณ์ออมทรัพย์ต้นแบบนั้น
กระทั่งวันที่ 21 ธ.ค. 64 พล.ต.ท.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. มีบันทึกข้อความส่วนราชการ ตร. ถึง ผบช. หรือตำแหน่งเทียบเท่า, ผบก. หรือตำแหน่งเทียบเท่าในสังกัด สง.ผบ.ตร. กำหนดการแก้ไขปัญหาหนี้สินออกเป็นห้วงระยะเวลาการปฏิบัติ เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจน ดังนี้ ระยะที่ 1 ตั้งแต่ 9 เม.ย. 64-15 ต.ค. 64 มีผู้สมัครใจเข้าร่วม โครงการ 5,571 ราย ในภาพรวม ตร. คณะทำงานฯ ระดับ บช. และระดับ บก. ได้แก้ไขสำเร็จ 2,536 ราย คิดเป็น 46 เปอร์เซ็นต์ คงเหลือผู้เข้าร่วมโครงการ 3,035 ราย ให้นำไปดำเนินการแก้ไขในระยะที่ 2
ระยะที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 16 ต.ค.64-15 พ.ย.64 มีผู้เข้าร่วมโครงการจากระยะที่ 1 3,035 ราย มีผู้สมัครใจเข้าร่วมโครงการเพิ่มขึ้น 1,607 ราย รวมเป็น 4,642 ราย แก้ไขสำเร็จ 87 ราย คงเหลือ 4,555 ราย ที่จะดำเนินการต่อในระยะที่ 3 ตั้งแต่ 16 พ.ย.64-15 มี.ค.65
ทั้งนี้ คณะทำงานฯระดับ ตร. ได้ประชุมหารือพร้อมกำหนดวัตถุประสงค์และคุณสมบัติของสหกรณ์ต้นแบบ ดังนี้ 1.ต้องเป็นสหกรณ์นำร่องในการแก้ปัญหาหนี้สินให้แก่สมาชิก นำหลักเกณฑ์ วิธีการที่กำหนดมาทดลองในการลดต้นทุนต่างๆ เช่น กำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากในอัตราดอกเบี้ยต่ำ การใช้สินทรัพย์ และ Future income ที่มีมายุบ ยอดหนี้ให้ลดลง เพื่อให้สมาชิกมีเงินเดือนเหลือใช้ในการดำรงชีพ เป็นต้นแบบให้สหกรณ์อื่นนำไปใช้
2.เพื่อช่วยเหลือสมาชิกในการกู้ยืมเงินในอัตราดอกเบี้ยต่ำ หากมีเงินเหลือเพียงพอในการที่จะช่วยเหลือสหกรณ์ออมทรัพย์ของหน่วยงานในสังกัด ตร. ที่ขาดสภาพคล่องด้วยการให้กู้เงินในอัตราดอกเบี้ยต่ำ
3.เพื่อให้เป็นแหล่งออมเงินและส่งเสริมความมั่นคงทางด้านการเงินให้กับข้าราชการตำรวจและลูกจ้างประจำ ให้คณะทำงาน บช.ภ.1-9 พิจารณาคัดเลือกสหกรณ์ออมทรัพย์ในสังกัดที่มีศักยภาพ และสมัครใจที่จะเป็นสหกรณ์ต้นแบบในการดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการตำรวจและลูกจ้างประจำ ในสังกัด บช. ละ 1 แห่ง ตามวัตถุประสงค์และคุณสมบัติ ข้างต้น สำหรับคณะทำงาน บช.อื่นที่มีสหกรณ์ในสังกัดมากกว่า 1 แห่ง หากมีความประสงค์ที่จะดำเนินการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการตำรวจและลูกจ้างประจำในสังกัด ให้พิจารณาคัดเลือกสหกรณ์ออมทรัพย์ในสังกัดที่มีศักยภาพ และสมัครใจที่จะเป็นสหกรณ์ต้นแบบ บช. ละ 1 แห่ง ส่วน บช. ที่มีสหกรณ์ในสังกัดจำนวนแห่งเดียว สมัครใจหรือไม่ก็ได้ ยกเว้นสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจนครบาล จำกัดรายงานผลสหกรณ์ต้นแบบให้ ตร.ทราบ (ผ่าน ผบก.สก.) ภายใน 7 ม.ค.65
...
เฉลี่ยตำรวจเป็นหนี้กันคนละล้าน
พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษก ตร. เปิดเผยว่า จากการวิเคราะห์ตัวเลขเฉลี่ยแล้ว ตำรวจ 2 แสนกว่านาย เป็นหนี้คนละประมาณ 1 ล้านบาท การเป็นหนี้สินของตำรวจมีปัจจัยหลายอย่าง บางรายมีความจำเป็นต้องกู้หนี้ยืมสินมาลงทุนทำธุรกิจ เพื่อให้ครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้ ปัญหาหนี้สินต้องแก้ที่โครงสร้างทั้งระบบ โครงสร้างอย่างหนึ่งคือเรื่องสหกรณ์ตำรวจ โดย ผบ.ตร.มอบหมายให้ พล.ต.อ.ปิยะ อุทาโย รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. ลงไปกำกับดูแล ตอนนี้อยู่ในกระบวนการปรับเปลี่ยนหลายเรื่อง ส่วนหนึ่งคือการพูดคุยกับสหกรณ์ตำรวจทั่วประเทศให้เป็นแนวทางที่ใกล้เคียงกันที่สุด ขณะนี้มีความก้าวหน้าในระดับหนึ่ง คาดว่าสัปดาห์หน้าจะมีความชัดเจนขึ้น
ผบ.ตร.เด้งรับบิ๊กตู่ เดินหน้าแก้ปัญหาหนี้
...
ขณะที่ทางด้าน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. เปิดเผยความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหนี้สินตำรวจตามนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่า ปริมาณตำรวจเป็นหนี้อยู่ประมาณ 2.7 แสนล้านบาท ถูกฟ้องเป็นคดีความ 1 เปอร์เซ็นต์ กำลังมีปัญหาผ่อนต่อไม่ไหว 2 เปอร์เซ็นต์ และอีก 97 เปอร์เซ็นต์ ยังผ่อนต่อได้อยู่ ตอนนี้เราอยู่ระหว่างแก้ปัญหา 97 เปอร์เซ็นต์
“จะทำอย่างไรให้ดอกเบี้ยลดลง หลักการคือรีไฟแนนซ์ ต้องให้ผู้บังคับการจังหวัดเป็นตัวแทนเจรจา ในส่วนสหกรณ์ตัวอย่างที่จะจ่ายดอกเบี้ยถูกๆ ให้ตำรวจ เราเอาสหกรณ์นครบาล จำกัด มาเป็นต้นแบบทำให้สหกรณ์อื่นๆ ดู ซึ่งเขาอาจเปลี่ยนมาเป็นสมาชิกสหกรณ์นครบาล หรือสหกรณ์ที่เขาอยู่ปรับตัวทำเหมือนนครบาล ส่วนรีไฟแนนซ์ หลักการง่ายๆ คือเปลี่ยนเจ้าหนี้ให้เขา และตอนนี้อยู่ระหว่างหาสหกรณ์ต้นแบบเพิ่ม เป็นการลดดอกเบี้ยเงินฝาก เพื่อทำให้ต้นทุนต่ำลง จะได้นำไปปล่อยกู้ได้ถูกลง โดยให้แนวทางสหกรณ์ที่เป็นตัวอย่างว่าการจะปล่อยกู้ต้องดูว่าผู้กู้มีเงินเหลือครองชีพถึง 30 เปอร์เซ็นต์หรือไม่”
เตรียมเสนอรัฐบาลหาสินเชื่อราคาถูก
พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า ที่จังหวัดเลย สำรวจแล้วตำรวจมีหนี้อยู่ประมาณ 700 ล้าน จ่ายดอกเบี้ยร้อยละ 7-8 บาท เราก็หาเจ้าหนี้ให้ใหม่เป็นร้อยละ 3 บาทกว่า วิธีการคือให้สหกรณ์ของจังหวัดเลยไปกู้เงินธนาคารออมสิน ให้สินเชื่อมา 700 ล้านบาท รอบแรกให้มาก่อน 300 ล้านบาท ดอกเบี้ย 1.99 บาท มารีไฟแนนซ์ให้กับสมาชิกข้าราชการตำรวจ ซึ่งตอนนี้หลายที่ทำประสบความสำเร็จ หลายที่อยู่ระหว่างเจรจา ถ้าเจรจาแล้วเจ้าหนี้เขายอมแฮร์คัตหนี้ ผู้บังคับบัญชาช่วยหาแหล่งเงินกู้รายใหม่เอาไปโปะหนี้เก่า เปลี่ยนเจ้าหนี้เป็นดอกเบี้ยราคาถูก เราให้หลักการไปแล้ว ผู้บังคับบัญชาต้องไปเจรจา ผู้การจังหวัดใดยังไม่ทำ ก็พยายามไปติดตามผลว่าติดขัดขั้นตอนใด มีปัญหาอะไรหรือไม่
...
ในส่วนการช่วยเหลือของภาครัฐ ขณะนี้อยู่ระหว่างทำแผนและสรุปรายละเอียดเรื่องวงเงิน เช่น มีสมาชิกรายใดที่สามารถทำการรีไฟแนนซ์ได้ เพื่อเสนอให้รัฐบาลช่วยหาวงเงินสินเชื่อราคาถูกให้
ท้ายที่สุดนี้...ภาพของผู้บังคับบัญชา ที่ลงมาไล่แก้ปัญหาหนี้สินตำรวจชั้นผู้น้อย คนทำงานที่สั่งสมมานาน เป็นปัญหาที่ตำรวจอยากให้คนที่เป็น “นาย” ช่วยดูแลแก้ไข คนเป็นนายที่ไม่ทอดทิ้งลูกน้องไว้ข้างหลัง ไม่ปล่อยให้ผู้ใต้บังคับบัญชาแก้ปัญหาหนี้สินโดดเดี่ยวเพียงลำพัง จะทำให้ตำรวจมีขวัญและกำลังใจในการทำงานมากยิ่งขึ้น.
เรียบเรียง : gravity_ki
กราฟิก : Sathit Chuephanngam