ตำรวจ สน.ราษฎร์บูรณะ ยื่นฝากขัง "ลูกน้ำ อิสราลักษณ์ บุรารักษ์" อดีตพิธีกรชื่อดัง คดีฉ้อโกงหลอกลงทุนขายของแบรนด์เนมออนไลน์ มูลค่าเสียหายเกือบ 100 ล้าน ก่อนศาลให้ประกันวงเงิน 50,000 บาท

เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2564 ที่ศาลอาญาธนบุรี พนักงานสอบสวน สน.ราษฎร์บูรณะ ยื่นคำร้องฝากขัง น.ส.อิสราลักษณ์ บุรารักษ์ หรือลูกน้ำ อายุ 29 ปี อดีตพิธีกรรายการโทรทัศน์ชื่อดัง ผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงประชาชนและโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง, นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน ครั้งแรก

ตามคำร้องฝากขังระบุพฤติการณ์สรุปว่า ผู้เสียหายรู้จัก น.ส. อิสราลักษณ์ ผู้ต้องหา ผ่านทางไอจีและเฟซบุ๊กเป็นเวลาประมาณ 10 ปี ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเห็น น.ส.อิสราลักษณ์ ทำธุรกิจขายของออนไลน์มาตลอด ไม่ว่าจะเป็นไดร์ม้วนผม เครื่องม้วนผม เครื่องสำอาง แบรนด์ซึ่งเป็นที่รู้จักในท้องตลาด ซึ่งผู้กล่าวหาเองก็เคยได้ทำการซื้อสินค้าเหล่านี้มา

ต่อมา น.ส.อิสราลักษณ์ ได้ทำการเปิดลงทุนเงินจากบุคคลทั่วๆ ไปมายังธุรกิจ ที่ได้อ้างว่ามีหลากหลายธุรกิจ ผ่านทางไอจีสตอรี่ โดยใช้แรงจูงใจให้ดอกเบี้ยเปอร์เซ็นต์ที่สูง ผู้กล่าวหาเคยได้ทำการซื้อสินค้า และได้ทำการติดตาม น.ส.อิสราลักษณ์ มานาน จึงไว้เนื้อเชื่อใจและร่วมลงทุน ดังนี้ เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2564 โดยนำเงินสดเข้าบัญชีธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำนวน 60,000 บาท และในการลงทุนนั้นผู้กล่าวหาได้เลือกเงื่อนไขที่ 7 จากนั้น น.ส. อิสราลักษณ์ ก็ได้ทำการส่งสัญญาฉบับแรกมาให้ผู้กล่าวหาตรวจทาน ดังจะเห็นได้ว่า น.ส. อิสราลักษณ์ ได้มีการพิมพ์ตอบกับผู้กล่าวหา ผู้กล่าวหาเลยคิดว่าบุคคลนี้ไม่น่าหลอกหลวง เนื่องจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาสามารถติดต่อกันได้ทางไลน์ตลอดไม่ว่าช้า-เร็ว ต่อมาเมื่อวันที่ 8 กุมกาพันธ์ 2564 ผู้กล่าวหาได้ลงทุนเพิ่มโดยโอนเข้าบัญชี น.ส.อิสราลักษณ์ อีก 60,000 บาท

...

จากนั้น น.ส.อิสราลักษณ์ ได้ทำการชักชวนผู้กล่าวหา ว่าทำไมไม่ลงทุนที่ 150,000 บาท โดยเอาเปอร์เซ็นต์ดอกเบี้ยหรือเงินปันผลมาเป็นแรงจูงใจและอ้างว่าหวังดี แต่ผู้กล่าวหาได้ปฏิเสธไป โดยทุกครั้งที่ผู้กล่าวหา ตกลงร่วมลงทุนนั้น ทาง น.ส.อิสราลักษณ์จะส่งสัญญา มาให้ผู้กล่าวหาลงลายมือชื่อ และให้ส่งกลับไปยัง น.ส.อิสราลักษณ์อีก 1 ฉบับ แต่เมื่อผู้กล่าวหาลงทุนไปแล้วนั้น ผู้กล่าวหาได้รับหนังสือสัญญาจาก น.ส.อิสราลักษณ์ล่าช้า ซึ่งผู้กล่าวหาได้ทวงถามอยู่บ่อยครั้ง จน น.ส.อิสราลักษณ์ส่งสัญญามาให้ผู้กล่าวหา โดยสัญญาฉบับแรกระบุว่า เงินปันผลก้อนแรกจะเข้าสิ้นเดือน มิ.ย. 64 เดือนละ 5,650 บาท จำนวน 12 เดือน ถึงเดือน พ.ค. 65

พอถึงสิ้นเดือน มิ.ย. 64 น.ส.อิสราลักษณ์ ก็ไม่ได้ทำการโอนตามกำหนดโดยอ้างว่าธนาคารกรุงศรีอยุธยา ที่ตนใช้โอนเงินนั้นมีปัญหาจึงทำการขอเปลี่ยนสัญญาฉบับใหม่มาเป็นโอนสิ้นเดือนสิงหาคม 64 ไปจนถึงเดือนเมษายน 65 ระยะเวลา 9 เดือนโดยให้เปอร์เซ็นต์ของเงินปันผลเพิ่มมากขึ้นจากสัญญาฉบับเก่าที่พอครบสัญญาจะได้ยอดเงินเป็นสัญญาฉบับสองที่ทำขึ้นมาแทน รวมเป็นเงิน 150,000 บาท มาเป็นให้เงินปันผล 9 งวด งวดละ 17,000 บาท ยอดรวมเป็น 153,000 บาท เพิ่มขึ้นมาอีก 3,000 บาท

แต่พอถึงสิ้นเดือนสิงหาคม 64 เงินปันผลก็ยังไม่มีการโอนใดๆ เข้ามา ผู้กล่าวหา จึงได้ติดตามทวงถามจาก น.ส.อิสราลักษณ์ แต่ก็ถูกบ่ายเบี่ยงเรื่อยมา จึงมาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีกับ น.ส.อิสราลักษณ์ ตามกฎหมายจนกว่าคดีจะถึงที่สุด

ต่อมาเมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 พนักงานสอบสวน ขอศาลอาญาธนบุรี ขอหมายจับผู้ต้องหาได้เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 64 ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา ควบคุมผู้ต้องหาไว้จนครบกำหนดแล้วแต่ยังต้องสอบพยานอีก 6 ปาก จึงขอฝากขังเป็นเวลา 12 วันตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 8 ม.ค. 65

ศาลพิจารณาคำร้องแล้วอนุญาตให้ฝากขังได้ ต่อมาญาติของผู้ต้องหาได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราว ศาลพิจารณาแล้วอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวโดยตีราคาประกัน 50,000 บาท.