ตำรวจ 191 โชว์ผลงานตามลากคอทันควัน โจรถือปืนบุกเดี่ยวชิงทอง 1 บาท ห้างทองอุดมพรรณ ย่านบางแค สูบกัญชาย้อมใจก่อนก่อเหตุ อ้างต้องการเอาทองไปขายเพื่อจ่ายค่าไฟและใช้จ่ายเพียงเล็กน้อย

เมื่อเวลา 09.40 น. วันที่ 19 พฤศจิกายน 2564 ในขณะที่ พ.ต.อ.ปิยรัช สุภารัตน์ ผกก.สายตรวจ บก.สปพ.พร้อมเจ้าหน้าที่สายตรวจ 191 กำลังออกตรวจพื้นที่มาถึงตลาดบางแค ถนนเพชรเกษม แขวงและเขตบางแค กรุงเทพฯ ได้รับแจ้งจากศูนย์วิทยุผ่านฟ้า ว่า มีเหตุชิงทรัพย์ร้านทอง ที่ตลาดบางแค ชื่อห้างทองอุดมพรรณ เลขที่ 259 อยู่ติดกับห้างวันเดอร์ จึงไปตรวจสอบ

ที่เกิดเหตุพบนายวิศวชิต สถาพรเสริมสุข อายุ 25 ปี เจ้าของร้าน และน.ส.นุชนารถ ศุภศิษฐ์โสภาคย์ อายุ 21 ปี พนักงานขาย ยืนรอให้การกับเจ้าหน้าที่ด้วยอาการตื่นตระหนกว่า ขณะกำลังเปิดร้านได้ไม่นาน มีคนร้ายเป็นชายใส่เสื้อยืดสีขาว คลุมทับด้วยเสื้อทหารสีเขียว กางเกงยีนส์ขาสามส่วน ใส่หมวกผ้าสีดำ สะพายกระเป๋าสีดำ ขี่รถจยย.ฮอนด้า คลิก สีดำแดง ทะเบียน 3กถ 8620 กรุงเทพมหานคร มาจอดหน้าร้าน แล้วเดินเข้ามาในร้าน มือซ้ายถือปืนสั้นแบบลูกโม่หลบไว้ด้านหลัง เมื่อเข้ามาถึง น.ส.นุชนารถ ถามว่า “มาทำอะไร” คนร้ายจึงยกปืนขึ้นมาขู่ แล้วพูดว่า “ผมมาเอาทอง” น.ส.นุชนารถ ตกใจ ถึงกับพูดไม่ออกได้แต่ยืนตัวสั่น

...

คนร้ายจึงเดินไปหานายวิศวชิต แล้วบอกว่า “ผมมาเอาทอง จะเอาไปให้เมียใส่ ผมไม่อยากทำใคร” นายวิศวชิต ถามว่า “จะเอาเส้นไหน แล้วเอาเท่าไร” คนร้ายบอกว่า “แล้วแต่จะให้” นายวิศวชิต จึงหยิบสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท 1 เส้น ยื่นให้คนร้าย จากนั้นคนร้ายได้ยกมือไหว้ 1 ครั้ง พูดว่า “ขอบคุณครับ” แล้วได้เดินออกไปนอกร้านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เอาทองที่ได้ไปสวมคอ จากนั้นได้เดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม เดินมุ่งหน้าไปทางคลองราชมนตรี โดยคนร้ายได้ทิ้งรถ จยย.พร้อมกุญแจไว้ในที่เกิดเหตุ

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตรวจสอบหมายเลขทะเบียนของรถคนร้าย จึงทำให้ทราบว่า ผู้ครอบครองคือ นายสหวัสส์ กุศลกิจเจริญ อายุ 33 ปี อยู่บ้านเลขที่ 472 ถนนพุทธมณฑลสาย 1 แขวงบางด้วน เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ จึงรีบไปยังที่พักของนายสหวัสส์ ซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 1 กิโลเมตร โดยใช้เวลาเพียง 5 นาที

เมื่อไปถึงพบว่านายสหวัสส์ มีลักษณะตรงกับคนร้ายที่ก่อเหตุ จึงควบคุมตัวพร้อมของกลางที่อยู่ในกระเป๋าสะพาย ประกอบด้วยสร้อยคอทองคำหนัก 1 บาท ปืนพกแบบลูกโม่ยี่ห้อสมิท แอนด์ เวสสัน ขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก พร้อมกระสุน 70 นัด มีดปอกผลไม้ 2 เล่ม ไขควง 3 อัน แว่นตา นาฬิกา และกัญชา 2 ห่อ นำตัวส่ง สน.เพชรเกษม โดยมีพล.ต.ต.โชคชัย งามวงศ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.พงศ์อานันต์ คล้ายคลึง ผบก.น.9 พ.ต.อ.วิสิษฐ์ วัฒนพงษ์พิทักษ์ ผกก.สน.เพชรเกษม และพ.ต.ท.สุนทร มาลาเวช รอง ผกก.สส.สน.เพชรเกษม ร่วมทำการสอบสวน

จากการสอบสวนนายสหวัสส์ ให้การว่า ตนมีอาชีพขายไส้กรอกอีสาน อยู่หน้าร้านเซเว่น อีเลฟเว่น ปากซอยพุทธมณฑลสาย 1 ซอย 1 ช่วงโควิดระบาดครั้งล่าสุด ทำให้ไส้กรอกขายไม่ดี ค้างค่าไฟ 3 เดือนรวมหมื่นกว่าบาท ต้องเลี้ยงลูก 3 คน ส่วนภรรยาทำงานบริษัท รายได้ไม่พอใช้ในครอบครัว สงสารภรรยา จึงเกิดอารมณ์ชั่ววูบ ก่อนก่อเหตุได้สูบกัญชาย้อมใจ ก่อนเอาปืนพกซึ่งพ่อยกให้ก่อนเสียชีวิต ซึ่งพกติดตัวไว้ทุกวันนำไปก่อเหตุ ต้องการเอาทองไปขายเพื่อจ่ายค่าไฟและใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

ส่วนที่จอดรถ จยย.ทิ้งไว้นั้น ก็เพราะต้องการให้ตำรวจตามมาจับได้ง่ายๆ ซึ่งขณะนี้ภรรยาก็ยังไม่รู้ว่าตนก่อเหตุและถูกจับ

...

หลังจากสอบสวนเสร็จเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวนายสหวัสส์ ไปชี้จุดเกิดเหตุ และทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ใช้เวลา 10 นาที จึงเสร็จสิ้น ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหา ชิงทรัพย์ มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต ครอบครองสารเสพติดประเภทที่ 5 (กัญชา) เพื่อเสพ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.