เจ้าของบริษัทขายสินค้าออนไลน์ พร้อมทนายดังแจ้งความอดีตลูกจ้างสาวแสบ ลาออกไปแล้ว แต่ยังแอบเข้ามาทาง "หลังบ้าน" ขโมยข้อมูลลูกค้าที่เข้าสั่งซื้อสินค้า และเซลล์ได้ปิดการขายไปแล้วแบบเก็บเงินปลายทาง สวมรอยส่งสินค้าด้อยคุณภาพไปแทน สร้างความเสียหายให้บริษัท
เวลา 11.00 น.วันที่ 18 พ.ย. นายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความชื่อดัง พานายสิรภพ แจ้งชูช่วย อายุ 32 ปี เจ้าของบริษัท888โฮม ช็อปปิ้ง จำกัด ซึ่งจำหน่ายสินค้า ทุกประเภท ตั้งแต่อาหารเสริม เครื่องแต่งกายแฟชั่น และ เจ้าของเพจ เคแมน-เด็กช่าง 100 ล้าน ในฐานะผู้เสียหายนำหลักฐาน เดินทางเข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.สุทิน พุ่มพวง พนักงานสอบสวน สภ.สำโรงเหนือ เพื่อให้ดำเนินคดี อดีตพนักงานเป็นหญิงสาววัย 25 ปี ในข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 หลังจากถูกอดีตพนักงาน ซึ่งเป็นซุปเปอร์ไวเซอร์ดูแลลูกค้าออนไลน์ของบริษัท นำข้อมูลหลังบ้าน ของลูกค้าที่เข้ามาสั่งซื้อของตัดหน้าส่งของที่ไม่มีคุณภาพไปให้ลูกค้า จนทำให้บริษัทเกิดความเสียหาย หลายแสนบาท
นายสิรภพ กล่าวว่า เมื่อ 5 ปีก่อน ตนได้รับพนักงานรายนี้ เข้ามาทำงานตำแหน่งซุปเปอร์ไวเซอร์ มีหน้าที่ดูแลระบบหลังบ้าน ซึ่งมียอดขายฐานข้อมูลลูกค้าที่เข้ามาสั่งซื้อของออนไลน์ ต่อมา บริษัทปรับโครงสร้างใหม่ ทำให้พนักงานรายนี้ไม่สามารถรับกฎระเบียบใหม่ที่ออกมาได้ ก่อนที่จะลาออกไป เมื่อเดือนมีนาคม 2564
...
แต่หลังจากอดีตพนักงานรายนี้ ออกไปแล้วยังเข้ามาสวมรอยใช้แอคเคาท์ ของบริษัท เพื่อเข้าไปดูระบบหลังบ้าน และขโมยฐานข้อมูลคำสั่งซื้อของลูกค้าที่เซลล์ได้ปิดการขายไปแล้ว และเลือกแบบเก็บเงินปลายทาง สวมรอยส่งสินค้าของตนเองไปให้ลูกค้าแทน จากนั้น เมื่อสินค้าของบริษัทไปถึงมือลูกค้า ซึ่งจะใช้เวลา 2-3 วันสินค้าของบริษัทส่งไปถึง ลูกค้าได้ปฏิเสธรับสินค้า เนื่องจากได้รับสินค้าไปแล้ว ทำให้สินค้าของบริษัทถูกตีกลับมา นอกจากนี้ลูกค้ายังตำหนิเรื่องสินค้าของบริษัท ที่ไม่มีคุณภาพไม่ตรงปก จนลูกค้าเก่าๆไม่กลับมาซื้อซ้ำอีก ทำให้บริษัทเกิดความเสียหายทางธุรกิจ ยืนยันจะดำเนินคดีตามกฎหมายจนถึงที่สุด เพื่อเป็นคดีตัวอย่างให้เพื่อนร่วมอาชีพที่ทำธุรกิจออนไลน์ สร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค
ด้านนายอนันต์ชัย กล่าวว่า การดำเนินคดีต้องแยกเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระ เพราะผู้ก่อเหตุสวมรอยเป็นบริษัท และไปอ้างตัวกับลูกค้าซึ่งเป็นผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบอีกส่วน ในหลายบุคคลและหลายท้องที่ ซึ่งจากหลักฐานพบว่า ผู้ก่อเหตุใช้ช่องทางจากที่เคยได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบระบบออนไลน์ของบริษัท นำข้อมูลทั้งหมดไปสร้างช่องทางออนไลน์ใหม่ ให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าเป็นบริษัทของลูกความ เป็นการลักลอบเข้าถึงข้อมูลบุคคลอื่น นอกจากเป็นอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เช่นเดียวกับแฮกเกอร์ ยังพบว่า มีผู้กระทำผิดอีกกลุ่ม คือบุคคลใกล้ชิดที่ดูแลระบบ
สำหรับอัตราโทษในคดีนี้ ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท ซึ่งหากมีการดำเนินคดีต่างกรรมต่างวาระ จะต้องรับโทษตามจำนวนครั้งที่ก่อเหตุ โดยพนักงานสอบสวน ได้รับเรื่องและอยู่ระหว่างสอบปากคำเพิ่มเติมเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป