ทนายชี้กรณียึดวัดวังใหญ่เป็นเจ้าของที่ดินแล้วไม่ใช่ฆราวาส คาดเจ้าพนักงานบังคับคดี คงไม่ได้ไปดูก่อนนำยึด ทำให้การยึดที่ดินมิชอบด้วยกฎหมาย บริษัทลิสซิ่งต้องไปสืบหาทรัพย์สินของลูกหนี้ใหม่
กรณีศาลแพ่งกรุงเทพใต้ บังคับคดีถึงที่สุดสั่ง ยึด "วัดวังใหญ่" ขายทอดตลาด ใช้หนี้อดีตสมภารซื้อรถเบนซ์ไม่ยอมผ่อน เกิดประเด็นข้อสงสัยว่าศาลสั่งยึดวัดได้อย่างไร เกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่าที่ พ.ต.ดร.สมบัติ วงศ์กำแหง กรรมการบริหารงานยุติธรรมแห่งชาติ อดีตเลขาธิการสภาทนายความ เผยวันที่ 6 พ.ย.ว่า
คดีนี้เมื่ออ่านรายละเอียดในเนื้อข่าว จะพบว่า บริษัทลิสซิ่ง ผู้ให้นางอำไพ (ขอสงวนนามสกุล) เช่าซื้อรถยนต์ ได้ฟ้องผู้เช่าซื้อเนื่องจากไม่ผ่อนชำระตามสัญญา จนศาลมีคำพิพากษาให้จำเลย คือนางอำไพ ผู้เช่าซื้อ ชำระหนี้ตามฟ้องให้แก่บริษัทลิสซิ่งโจทก์ พร้อมทั้งให้ชำระค่าฤชาธรรมเนียมในการยื่นฟ้องและค่าทนายความให้แก่โจทก์ด้วย หากไม่ชำระจะถูกยึดทรัพย์สินออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วนตามคำพิพากษาต่อไป ทั้งนี้คำพิพากษาของศาลไม่ได้สั่งให้ยึดวัด แต่ให้ยึดทรัพย์สินของจำเลย
ปรากฏว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยไม่ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โจทก์จึงทำการสืบหาทรัพย์สินของจำเลยเพื่อยึดขายทอดตลาดตามคำพิพากษา ซึ่งโจทก์สืบพบที่ดิน น.ส.3 ก แปลงหนึ่งในอ.นาทวี สงขลา ที่มีชื่อนางอำไพ เป็นเจ้าของ อยู่ 1 แปลง จึงได้ขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินแปลงดังกล่าวออกขายทอดตลาด ในการยึดทรัพย์ที่เป็นที่ดิน ปัจจุบันเจ้าพนักงานบังคับคดี จะไม่ได้ออกไปทำการยึด ณ ที่ตั้งที่ดิน แต่จะเป็นการยึดตามเอกสารสิทธิที่โจทก์ (ทนายโจทก์) นำมาแสดง แก่เจ้าพนักงานบังคับคดีที่สำนักงานเอง โดยไม่ต้องลงพื้นที่ ซึ่งเรียกกันว่า “ยึดบนโต๊ะ” ทำให้เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินแปลงนี้ ซึ่งมีชื่อจำเลยเป็นเจ้าของโดยไม่ทราบว่าเป็นที่ตั้งของวัด
...
ว่าที่พ.ต.ดร.สมบัติเผยว่า ซึ่งหากเจ้าพนักงานบังคับคดีทราบว่าเป็นที่ตั้งของวัด และเป็นที่ดินของวัด ก็จะไม่ทำการยึด เพราะหากเป็นที่ดินของวัด ตามพ.ร.บ.คณะสงฆ์ มาตรา 35 ก็ไม่อยู่ในความรับผิดแห่งการบังคับคดี หมายความว่า ที่ดินของวัด ห้ามยึดมาขายทอดตลาดเพื่อเอาเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์
ปัญหาที่ต้องพิจารณาต่อก็คือ ที่ดินมีชื่อเป็นของนางอำไพ ตามกฎหมายก็ต้องถือว่าเป็นของลูกหนี้ แต่คดีแบบนี้ศาลปกครองสูงสุด เคยมีคำพิพากษาว่า แม้ที่ดินไม่ได้ระบุว่าวัดเป็นเจ้าของ ก็ถือว่าเป็นของวัดได้ คดีดังกล่าวศาลปกครองพิพากษาว่า การที่เจ้าของที่ดินยกที่ดินให้แก่วัดด้วยวาจา แม้ยังไม่ได้ไปจดทะเบียนการให้ที่สำนักงานที่ดิน ถือได้ว่า "มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย"
ว่าที่ พ.ต.ดร.สมบัติกล่าวว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวตกเป็นกรรมสิทธิ์ของวัดทันทีที่มีการแสดงเจตนาอุทิศให้ โดยไม่จำต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนการให้ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามมาตรา 525 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อีก เมื่อที่ดินที่พิพาทตกเป็นกรรมสิทธิ์ของวัดแล้ว ที่ดินพิพาทจึงเป็นที่ธรณีสงฆ์ ตามมาตรา 33 (2) แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. 2505 (คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.146/2563)
นอกจากนี้ พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มาตรา 34 ยังบัญญัติว่า การโอนกรรมสิทธิ์ที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ศาสนสมบัติกลาง ให้กระทำได้ก็แต่โดยพระราชบัญญัติเท่านั้น ดังนั้น แม้มีการยึดที่ดินของวัดมาขายทอดตลาด ผู้ซื้อจากการขายทอดตลาดก็ไม่สามารถจดทะเบียนโอนเป็นของตนได้ เพราะยังไม่มีการออกพระราชบัญญัติให้โอนกรรมสิทธิ์ได้
ผู้สื่อข่าวถามว่าทางวัดควรสู้คดีอย่างไร ว่าที่ พ.ต.ดร.สมบัติ กล่าวว่า กรณีที่เป็นข่าว จึงต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นที่ดินของวัด หากพิสูจน์ได้ การยึดทรัพย์ตามที่เป็นข่าว ก็จะเป็นการยึดที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
มีข้อสังเกตว่า หากการยึดทรัพย์ทำเหมือนในอดีต ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องออกไปยึด ณ ที่ตั้งของที่ดิน โดยให้โจทก์ (ทนายความโจทก์) ไปนำยึด คือ ชี้ยืนยันให้ยึด การยึดที่ดินวัดนี้น่าจะไม่เกิดขึ้น เพราะเมื่อโจทก์และเจ้าพนักงานบังคับคดี เห็นที่ตั้งที่ดินมีสภาพเป็นวัด คงไม่กล้ายึด นอกจากเมื่อยึดมา ก็จะไม่มีผู้เข้าประมูลซื้อที่ดินที่เป็นที่ตั้งของวัด เนื่องจากใช้ประโยชน์ไม่ได้
จากข่าวไม่ปรากฏว่า นางอำไพ ได้แสดงเจตนาอุทิศให้วัด ด้วยวาจาหรือไม่ อาจมีข้อโต้แย้งว่า ยังไม่ได้ยกให้วัด นางอำไพยังคงเป็นเจ้าของอยู่ แต่โดยพฤตินัยน่าจะพออนุมานได้ว่าเจ้าของยกให้วัดแล้ว
ว่าที่พ.ต.ดร.สมบัติกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากระยะเวลาการใช้ประโยชน์ในที่ดินของวัดวัดวังใหญ่ ซึ่งตั้งอยู่บนที่ดินที่ถูกยึดนี้ ได้ขออนุญาตตั้งวัดเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 40 และมีการใช้ประโยชน์มาโดยตลอดจนปัจจุบันเป็นเวลากว่า 25 ปีแล้ว ที่ดินแปลงนี้เป็นที่ดิน น.ส.3 หากวัดได้ครอบครองทำประโยชน์ได้เกิน 1 ปี จะได้สิทธิครอบครองเป็นเจ้าของตามกฎหมาย กรณีที่ดินที่มีโฉนด หากวัดครอบครองโดยสงบเปิดเผย เจตนาเป็นเจ้าของ ได้ "เกิน 10 ปี" ก็ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามกฎหมายเช่นกัน (คำพิพากษาฎีกาที่ 587/2507 วัดครอบครองปรปักษ์ในที่ดินมีโฉนดซึ่งเจ้าของยกให้ แม้ต่อมาผู้ให้ตาย วัดยังคงครอบครองต่อมาอีกจนครบกำหนด 10 ปีแล้ว วัดย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนั้น) การที่วัดได้ใช้ประโยชน์ในที่ดินตลอดมา ที่ดินแปลงนี้จึงเป็นของวัด
ดังนั้น วัดสามารถให้เจ้าพนักงานแก้ไขชื่อเจ้าของใน น.ส.3 หรือในโฉนดเป็นชื่อของวัดได้ด้วย แต่แม้ไม่มีชื่อในเอกสารสิทธิ ที่ดินก็เป็นของวัดและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย เมื่อข้อเท็จจริงและกฎหมายปรากฏชัดดังกล่าวมานี้ วัดจึงมีสิทธิที่จะยื่นคำร้องขัดทรัพย์ขอให้ศาลสั่งปล่อยทรัพย์ที่ยึดหรือเพิกถอนการยึดทรัพย์ได้ ส่วนบริษัทลิสซิ่ง ก็ต้องสืบหาทรัพย์สินของลูกหนี้ใหม่ เพื่อยึดทรัพย์ภายในกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ศาลพิพากษาต่อไป.