ตำรวจเผย “สาวตัดเชือก” สารภาพ เพราะจำนนต่อหลักฐาน หลังจากปฏิเสธมาตลอดก่อนหน้านี้ ด้านคู่กรณีทั้งเจ้าของบริษัท และคนงานที่กำลังไต่เชือกอยู่นอกอาคาร ไม่ขอรับเงินชดใช้ค่าเสียหาย เผยเขามีปัญหากับนิติฯ คอนโด แต่ทำไมมาลงกับคนที่ไปทำงาน 

เวลา 15.00 น. วันที่ 27 ต.ค. 64 น.ส.วริยา สวัสดิ์วิมล อายุ 34 ปี เจ้าของบริษัท ดี.พี.แอคเซส เพ้นท์ติ้ง จำกัด พร้อมด้วยนายสอง อายุ 21 ปี ลูกจ้างชาวเมียนมา เดินทางเข้าพบ ร.ต.ท.พันธ์พงศ์ ภูริวัฒนพงศ์ พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี ที่ สภ.ปากเกร็ด หลังจาก น.ส.ณิชานันท์ แซ่โต๊ะ อายุ 39 ปี เจ้าของห้องเลขที่ บี 2126 ชั้น 21 อาคารบี คอนโดลุมพินีวิลล์ แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด ถนนแจ้งวัฒนะ ต.ปากเกร็ด คู่กรณีที่ตัดเชือกขณะที่โรยตัวทำงานด้านนอกอาคาร เข้ารับทราบข้อกล่าวหา ต้องการพบเพื่อขอเจรจาขอชดใช้ค่าเสียหาย

น.ส.วริยา เจ้าของบริษัทกล่าวว่า หลังได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ผู้ก่อเหตุยอมรับสารภาพแล้วว่าเป็นคนตัดเชือก อ้างว่าไม่ทราบว่าทางนิติฯ คอนโดได้มีการปิดประกาศจะให้ช่างมาซ่อมรอยรั่ว และผู้ก่อเหตุยินดีจะชดใช้ค่าเสียทั้งหมด แต่วันนี้ที่มาพบเราไม่ต้องการที่จะเจรจาเรื่องค่าเสียหาย แต่ต้องการมาสอบถามว่าเขาทำไปเพื่ออะไร ส่วนเรื่องคดีให้เป็นไปตามกฎหมาย จะไม่มีการพูดคุยและเจรจาชดใช้ค่าเสียหายใดๆ ทั้งสิ้น เบื้องต้นเขาก็ขอโทษทางเราและนายสอง

ส่วน นายสอง กล่าวว่า วันนี้ไม่ได้เข้ามาพูดคุยเจรจาแต่อย่างใด ตนยังรับกับเรื่องราวและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าหากเกิดพลาดพลั้งเป็นอะไรไปแล้วพ่อกับแม่จะอยู่อย่างไร เราไม่ทราบว่าเขามีปัญหากับทางนิติฯ คอนโดมาก่อน เราเข้ามาทำงานอุดรอยรั่วซึมตามที่นายจ้างรับงานไว้ แต่ทำไมเขาถึงมาลงกับเรา

...

ด้าน พ.ต.อ.พงศ์จักร ปรีชาการุณพงศ์ ผกก.สภ.ปากเกร็ด กล่าวว่า วันนี้ครบกำหนดที่เจ้าหน้าตำรวจได้นำหมายเรียกไปแปะไว้ที่หน้าห้องพัก เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหามาพบพนักงานสอบสวนเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา ในความผิดข้อหาพยายามฆ่า และทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งผู้ถูกกล่าวหามาพบตอนแรกให้การปฏิเสธ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจมีพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ภาพวงจรปิด และพยานแวดล้อม ทำให้ผู้ถูกกล่าวหาจำนนต่อหลักฐานเปลี่ยนใจยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้เอื้อมมือไปตัดเชือกจนขาดจริง แต่ปฏิเสธไม่ได้มีเจตนาฆ่า ซึ่งเป็นสิทธิ์ของผู้ถูกกล่าวหาจะให้การอย่างไรก็ได้.