ศาลฎีกาพิพากษา ยกฟ้องวิศวกรฯ เหตุแก๊สไพโรเจนระเบิด ที่สำนักงานใหญ่ ธ.ไทยพาณิชย์ คนงานตาย 8 ศพเมื่อปี 59 เนื่องจากโจทก์ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าเป็นการกระทำโดยประมาท ยกฟ้องจำเลยที่ 3 และ 9

ศาลอาญา สายวันที่ 23 ก.ย. 64 ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีอาญา 7 กับผู้เสียหายร่วมเป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นาย ณ.พงษ์ สุขสงวน อายุ 49 ปี ประธานกรรมการบริษัท เมก้า แพลนเน็ต จำกัด, นายอดิศร โฟดา อายุ 55 ปี ผู้บริหาร บจก.เมก้า แพลนเน็ต, นายจิระวัฒน์ เปรมปรีดิ์ อายุ 34 ปี วิศวกรโครงการปรับปรุงระบบป้องกันอัคคีภัยของ บจก.เมก้าฯ, นายสมคิด ตันงาม อายุ 63 ปี กก.บจก.โจนส์ แลงฯ, นายสมคิด จันทร์หอม อายุ 40 ปี หัวหน้าช่าง บจก.โจนส์ แลงฯ, นายตรีภพ ยังประเสริฐกุล อายุ 41 ปี ผู้จัดการดูแลอาคาร บจก.โจนส์ แลงฯ, น.ส.ขจรจิตร พรหมดีราช อายุ 49 ปี พนักงานบริษัท เอบิท มัลติซิสเต็ม จำกัด ที่รับช่วงต่อจาก บจก.เมก้า แพลนเน็ต ควบคุมดูแลการวางท่อระบบดับเพลิงภายในอาคาร, นายบุญเสริม กระจาด อายุ 40 ปี วิศวกร บจก.เอบิท มัลติซิสเต็ม ที่คุมคนงาน, บริษัท เมก้า แพลนเน็ต จำกัด โดย นาย ณ.พงษ์ สุขสงวน และนายอดิสร โฟดา กรรมการผู้มีอำนาจ, บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ แมนเนจเม้นท์ จำกัด โดย นายสมคิด ตันงาม กรรมการผู้มีอำนาจ เป็นจำเลยที่ 1-10 ในความผิดฐานร่วมกันกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และได้รับอันตรายแก่กายและอันตรายสาหัส กรณีถังบรรจุสารเคมี ชนิด “ไพโรเจน” เกิดระเบิด จนทำให้สารภายในถังเกิดรั่วไหล เหตุเกิดภายในบริเวณชั้นใต้ดิน บี2 อาคารเอสซีบีปาร์ค ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ (SCB park) ถนนรัชดาภิเศษ แขวงจตุจักร เขตจตุจักร กรุงเทพฯ เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตรวม 8 ศพ

...

คดีนี้ศาลชั้นต้น มีคำพิพากษาว่า แม้จำเลยที่ 1-2 ซึ่งเป็นผู้บริหาร บจก.เมก้าฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรง แต่มีหน้าที่กำกับดูแล ให้ บจก.เมก้าฯ จำเลยที่ 9 รักษาความปลอดภัย ขณะที่ นายจิระวัฒน์ วิศวกรโครงการจำเลยที่ 3 เป็นหัวหน้างานมีหน้าที่ต้องควบคุมดูแลความปลอดภัย แต่กระทำโดยประมาทไม่ปิดระบบดับเพลิงเดิม ไม่ควบคุมในที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 1, 2, 3, 9 จึงมีความประมาทร่วมด้วยทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตขึ้น ให้ลงโทษฐานร่วมกันกระทำประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ได้รับอันตรายแก่กายและอันตรายสาหัส จำคุกจำเลยที่ 1-3 คนละ 2 ปี และปรับคนละ 20,000 บาท แต่เนื่องจากจำเลยที่ 1-3 ไม่เคยต้องโทษมาก่อน ให้รอลงอาญาสองปี

ส่วน บจก.เมก้าฯ จำเลยที่ 9 ให้ปรับ 20,000 บาท และจำเลยที่ 1-3, 9 ร่วมกันชดใช้เงินญาติผู้ตายที่เป็นโจทก์ร่วมด้วย 5 คน รวม 2.1 ล้านบาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับจากวันเกิดเหตุ 13 มี.ค. 2559 ส่วนจำเลยอื่นๆ ยกฟ้อง

โจทก์ ยื่นอุทธรณ์ ต่อมาศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้อง นาย ณ.พงษ์ และนายอดิศร จำเลยที่ 1-2 ด้วย นอกนั้นเป็นไปตามศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยที่ 3 กับ 9 ยื่นฎีกา โดยในวันนี้ จำเลยที่ 3 และผู้บริหาร บริษัท เมก้า แพลนเน็ต จำเลยที่ 9 เดินทางมาฟังคำพิพากษา พร้อมญาติและบุคคลใกล้ชิดที่เดินทางมาร่วมให้กำลังใจ

ศาลฎีกาเห็นว่า ตามรายงานกองพิสูจน์หลักฐาน สันนิษฐานว่าระบบทำงานเนื่องจาก Smoke Detector ตรวจจับฝุ่นควันได้ แต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าการทำงานเกิดจากการตรวจจับฝุ่นควันได้จริงหรือไม่ ไม่มีข้อมูลว่า ก่อนเกิดเหตุธนาคารจะมีการปิดระบบไพโรเจนหรือไม่ จากคำเบิกความของพยานแสดงให้เห็นว่า ระบบดับเพลิงเดิมมีปัญหาในการทำงาน ไม่ได้มีการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเหตุที่เกิดขึ้น เกิดด้วยสาเหตุใดแน่ น่าสงสัยว่ามีการปิดสวิตช์ระบบดับเพลิงตั้งแต่ก่อนเกิดเหตุหรือไม่ เนื่องจากพบว่าสวิตช์ปิดอยู่ แต่ไม่มีพยานผู้ใดเบิกความว่ามีการปิดสวิตช์ภายหลังเกิดเหตุแล้ว พยานหลักฐานที่โจทก์ร่วมนำสืบมาจึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่า ในวันเกิดเหตุจำเลยที่ 3 มิได้มีการแจ้งให้มีการปิดระบบดับเพลิงเดิมอันเป็นการกระทำโดยประมาทของจำเลยที่ 3 ตามฟ้องตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยที่ 3 เมื่อได้ความดังกล่าวแล้วถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 9 กระทำการโดยประมาทด้วยเหตุดังกล่าวเช่นเดียวกันกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ดังนี้จำเลยที่ 3 และที่ 9 จึงไม่ต้องชำระค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม ฎีกาของจำเลยที่ 3 และที่ 9 ฟังขึ้นส่วนฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 3 และที่ 9 เสียด้วย ยกคำร้องขอให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนของโจทก์ร่วมที่ 1 ที่ 2 ที่ 6 ที่ 10 และที่ 11 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลอ่านคำพิพากษายกฟ้อง นายจิระวัฒน์ จำเลยที่ 3 และผู้บริหาร บริษัทเมก้า แพลนเน็ต จำกัด จำเลยที่ 9 ต่างมีใบหน้ายิ้มแย้มก่อนเดินทางกลับ.