ชายวัย 50 ปี มารักษาตัวที่รพ.กระบี่ ถูกย้ายมาอยู่ห้องรวม ใช้คัตเตอร์เชือดคอดับคาเตียง ผอ.เผย รักษาหายแล้วแพทย์กำลังจะให้กลับบ้าน แต่ทราบว่าเป็นคนเร่ร่อน ไม่มีบ้าน อาศัยนอนตามวัด
เวลา 15.30 น. วันที่ 14 ส.ค. พ.ต.ท.ชาติชาย นาคปักษี สว.สอบสวน สภ.เมืองกระบี่ รับแจ้งมีเหตุคนป่วยใช้มีดเชือดคอตัวเองตาย ภายในห้องพักผู้ป่วยรวม ตึกสูตินรีเวชกรรม รพ.กระบี่ หลังรับแจ้งจึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับ แล้วพร้อมด้วยแพทย์เวร เข้าตรวจสอบ พบที่เตียงใกล้กับเคาน์เตอร์พยาบาล แพทย์ พยาบาลกำลังช่วยกันยื้อชีวิตผู้ป่วยชาย ทราบชื่อต่อมาคือนายอาตมา เอกกุศโลบาย อายุประมาณ 50 ปี แต่ไม่สามารถช่วยชีวิตไว้ได้ เนื่องจากคนป่วยเสียเลือดมาก โดยมีบาดแผลฉกรรจ์บริเวณลำคอฝั่งขวา 1 แผลใหญ่ บนตู้วางของใกล้กับเตียงผู้ป่วยพบมีดคัตเตอร์สีส้มเปื้อนเลือดตกอยู่ 1 เล่ม คาดว่าเป็นมีดที่ใช้ก่อเหตุ จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน
สอบถามเจ้าหน้าที่ทราบว่า ช่วงเกิดเหตุ ขณะที่พยาบาลกำลังยุ่งกับการดูแลผู้ป่วยรายอื่น หันไปเห็นผู้ป่วยรายดังกล่าวใช้มีดเชือดคอตัวเองจึงรีบวิ่งเข้าไปช่วย แต่ช่วยไม่ทัน เพราะผู้ตายเสียเลือดมากจนช็อกหมดสติและขาดใจตายในที่สุด เบื้องต้นทราบว่า ผู้ตายเป็นชายเร่ร่อนเข้ามารักษาตัว ยังไม่สามารถติดต่อญาติได้ จึงนำศพเก็บไว้ที่รพ.รอติดต่อญาติมารับศพ
ทั้งนี้ จากการสอบถาม ญาติผู้ป่วยรายอื่นที่มานอนรักษาตัว รพ.เดียวกัน เผยว่า ก่อนที่ผู้ตายจะก่อเหตุสยองครั้งนี้ เคยมาเยี่ยมและพูดคุยกับผู้ตายหลายครั้งแล้ว เพราะเห็นว่าผู้ตายมีอาการป่วยคล้ายเป็นอัมพฤกษ์ครึ่งตัว และไม่มีญาติมาคอยเฝ้า จึงแวะเวียนมาเยี่ยมผู้ตายเป็นประจำเวลามาเยี่ยมญาติ จนเช้าวันเกิดเหตุก็แวะเข้ามาเยี่ยมเหมือนปกติ แต่เห็นผู้ตายยังนอนหลับอยู่ในตอนเช้า จึงไม่ได้เข้าไปรบกวน กระทั่งมาอีกทีตอนหลังเกิดเหตุ ก็ช็อกเมื่อทราบจากพยาบาลว่าผู้ตายใช้มีดเชือดคอตัวเองตาย ส่วนสาเหตุตนไม่ทราบ แต่เท่าที่ผู้ตายเคยบ่นให้ฟัง คือเรื่องไม่มีญาติมาคอยเฝ้าไข้ จึงอาจเกิดอาการน้อยใจ
...
ขณะที่ นพ.สุพจน์ ภูเก้าล้วน ผอ.รพ.กระบี่ กล่าวว่า กรณีของผู้เสียชีวิต จากการสอบถาม เจ้าหน้าที่ที่เข้าเวรในตึกทราบว่าเข้ามารักษาตัวอยู่นานเกือบเดือนแล้ว โดยเหตุที่ต้องย้ายมารักษาตัวที่ตึกสูตินรีเวช เพราะตึกผู้ป่วยปกติปิดจากสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งวันเดียวกันนี้ เจ้าหน้าที่บอกว่า แพทย์จะอนุญาตให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้แล้ว เพราะรักษาอาการป่วยจนหายดีแล้ว แต่จากการสอบถามข้อมูล ทราบว่าผู้ป่วยเองก็ไม่มีบ้าน ก่อนจะเข้ารับการรักษาเป็นคนเร่ร่อน พักอาศัยอยู่ตามวัด ส่วนมีดที่ใช้ก่อเหตุ ผู้ป่วยได้มาจากไหนก็ไม่ทราบ ซึ่งจะให้เจ้าหน้าที่ทำรายงานชี้แจงอีกครั้ง และหลังจากนี้ทางรพ.จะเพิ่มมาตรการในการตรวจตราผู้ป่วยให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะเรื่องของอาวุธ และสิ่งของอันตรายทั้งหมด.