ศาลอาญายกฟ้อง คดีอัยการฟ้อง 12 จำเลย ข้อหาฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันลักทรัพย์นายจ้าง และปลอมแปลงเอกสาร คดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น เหตุอัยการฟ้องซ้ำและไม่มีอำนาจฟ้องในคดีที่ศาลตัดสินไปแล้ว

เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.64 ที่ศาลอาญา ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้องนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อายุ 64 ปี อดีตประธานบริหารสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน จำกัด กับพวกรวม 12 คนเป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกัน ฉ้อโกงประชาชนกว่า 2,254 ราย มูลค่าความเสียหาย 11,000 ล้านบาทเศษ และข้อหาร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างกับข้อหา ปลอมแปลงเอกสารสิทธิ์ โดยเป็นการอ่านคำพิพากษาผ่านระบบ วิดีโอ คอนเฟอเรนซ์ เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไข้หวัดโคโรนา

คดีนี้อัยการฟ้องว่า เมื่อระหว่างเดือน ม.ค. 51 - ธ.ค. 55 พวกจำเลยร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหาย โดยจัดทำสัญญากู้ยืมเงิน ระหว่าง สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด กับ นิติบุคคล หรือคณะบุคคลที่ไม่ได้ถือหุ้นในสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด จำนวน 28 ราย โดยไม่มีการกู้ยืมเงินกันจริง ทำให้เสียหาย 11,858,440,000 บาท โดยไม่มีการกู้ยืมเงินกันจริง และร่วมกันทำการบันทึกรายการทางการเงิน อันเป็นเท็จ ในการบันทึกรายการรับชำระหนี้เงินกู้ยืมเงินและดอกเบี้ยรับจากลูกหนี้เงินกู้ยืมพิเศษ สมาชิกสมทบ โดยไม่มีการรับชำระหนี้เงินกู้ยืมและดอกเบี้ยรับจากลูกหนี้เงินกู้ยืมพิเศษสมาชิก สมทบจริง และบันทึกจ่ายเงินให้แก่ลูกหนี้เงินกู้ยืมพิเศษ โดยไม่มีการจ่ายเงินที่กู้ยืมออกจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น จำกัด จริง และทำการตกแต่งบัญชีทำให้เข้าใจว่าไม่มีงบดุลขาดทุนเพื่อไม่ให้ตรวจสอบพบข้อพิรุธ

ศาลพิพากษาว่าคดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบพยานโจทก์โดยทนายจำเลยได้ซักค้าน
มีประเด็นว่าฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำ และโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่เห็นว่าจากข้อเท็จจริงไปทางพิจารณาพบว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องเกี่ยวกับช่วงเวลาที่นายศุภชัยจำเลยที่ 1 เป็นประธานคณะดำเนินการสหกรณ์ยูเนี่ยนคลองจั่น ซึ่งเหตุเกิดระหว่างปี 2552 ถึง 2556 ซึ่งเป็นเหตุการณ์เดียวกันและมีการกระทำเดียวกันกับ คดีฉ้อโกง หรือคดีดำที่ อ.235/2562 ซึ่งศาลอาญาได้มีคำพิพากษายกฟ้องไปแล้วเมื่อปี 2563 ดังนั้นข้อเท็จจริงนี้จึงเป็นกรณีที่ศาลได้วินิจฉัยเสร็จเด็ดขาด ในความผิดที่ได้กระทำไปแล้ว สิทธิการดำเนินคดีอาญาจึงระงับไปตามมาตรา 39 อนุ 4 จึงไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1

...

ส่วนจำเลย 2-12 โจทก์ก็ไม่ได้นำสืบข้อเท็จจริงตามที่บรรยายมาในฟ้องว่า พวกจำเลยร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างและปลอมแปลงเอกสารสิทธิ์นั้นเห็นว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพัฒนาเกี่ยวกับการสั่งจ่ายเช็คจากบัญชีธนาคารเมื่อปี 2555 โดยพวกจำเลยนำไปเบิกเงินโดยทุจริต และร่วมกันทำเอกสารสิทธิ์ปลอมนั้นเป็นข้อเท็จจริงเดียวกันกับที่ศาลนี้ได้ตัดสินไปแล้วคดีเสร็จเด็ดขาด และมีการวินิจฉัยในความผิดที่ได้ฟ้องไปแล้ว สิทธิดำเนินคดีอาญาจึงระงับเช่นเดียวกัน พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งหมด

หลังฟังคำพิพากษาจำเลยที่ได้ประกันตัวก็ได้เดินทางกลับ ส่วนนายศุภชัย ซึ่งฟังคำพิพากษาอยู่แล้วในเรือนจำยังคงต้องรับโทษตามที่ถูกศาลพิพากษา ในคดียักยอกทรัพย์ 22 ล้าน อีกคดี ที่ลงโทษจำคุกไปแล้ว 7 ปีต่อไป.