ร.ต.ท.อุทัย จ่าภา รอง สว.(สส.) สภ.ปทุมรัตต์ จ.ร้อยเอ็ด เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ หลังเข้าระงับเหตุชายเมาสุราอาละวาด ได้รับการปูนบำเหน็จความชอบ 7 ขั้น 5 ชั้นยศ เป็นยศ พลตำรวจตรี บรรจุทายาท เข้ารับราชการตำรวจ

เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กองบัญชาการตํารวจภูธรภาค 5 เผยแพร่เอกสารโดยระบุว่า แถลงข่าวข้าราชการตำรวจเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่

วันที่ 21 มิ.ย. 64  เวลา 15.30 น. พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.4 พร้อมด้วย พล.ต.ต.ไพโรจน์ มังคลา ผบก.ภ.จว.ร้อยเอ็ด, พ.ต.อ.ภูมิวิทย์ เวชกามา รอง ผบก.ภ.จว.ร้อยเอ็ด ได้เดินทางมาที่ สภ.ปทุมรัตต์ จว.ร้อยเอ็ด เพื่อประชุมและติดตามความคืบหน้าสำนวนการสอบสวนคดีที่ข้าราชการตำรวจ สังกัด สภ.ปทุมรัตต์ จว.ร้อยเอ็ด เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ โดยคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 มิ.ย.64 เวลาประมาณ 05.30 น.ในขณะที่ ร.ต.ท.อุทัย จ่าภา อายุ 55 ปี เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจ สังกัด สภ.ปทุมรัตน์ จว.ร้อยเอ็ด พร้อมกับพวกรวม 3 คน ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ สภ.ปทุมรัตต์ ก็ได้รับแจ้งเหตุว่ามีคนเมาสุราอาละวาดอยู่ที่ บ้านม่วง ม.7 ต.ดอกล้ำ อ.ปทุมรัตต์ จว.ร้อยเอ็ด จึงได้พร้อมกับพวกรวม 3 นาย รีบรุดเดินทางไปยังที่เกิดเหตุเพื่อเข้าไประงับเหตุ เมื่อไปถึงบริเวณที่เกิดเหตุพบนายกนกพล ยอดไทย ผู้ต้องหา (ทราบชื่อภายหลัง) ยืนถือมีดอีโต้ ยาวประมาณ 50 ซม. ยืนอยู่บริเวณที่เกิดเหตุ ร.ต.ท.อุทัย จึงบอกให้ผู้ต้องหาวางอาวุธลง ปรากฏว่าในระหว่างนั้น ผู้ต้องหาได้ฉวยโอกาสใช้อาวุธมีดดังกล่าวฟันเข้าที่บริเวณกลางศีรษะ ร.ต.ท.อุทัย จำนวน 2 ครั้ง เป็นเหตุให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส ในขณะเดียวกัน ร.ต.ท.อุทัย ก็ได้ใช้อาวุธปืนพกสั้นประจำกาย ขนาด 9 มม. ยิงป้องกันตัว โดยกระสุนได้ถูกเข้าที่บริเวณลำตัวผู้ต้องหา 1 นัด หลังเกิดเหตุ จนท.ตร.จึงได้นำ ร.ต.ท.อุทัย ส่ง รพ.ร้อยเอ็ด โดย ร.ต.ท.อุทัย ได้รับบาดเจ็บสาหัส และได้ถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ส่วนนายกนกพล ผู้ต้องหาได้หลบหนีไป โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ติดตามไปจนสามารถจับกุมตัวได้ และได้นำส่งตัวไปรักษาที่ รพ.ร้อยเอ็ด โดยในขณะนี้อยู่ในระหว่างการรักษาของแพทย์ เบื้องต้นได้ประสาน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองร้อยเอ็ด ควบคุมตัวเอาไว้แล้ว

เหตุเกิดที่ บ้านม่วง ม.7 ต.ดอกล้ำ อ.ปทุมรัตต์ จว.ร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ 21 มิ.ย.64 เวลาประมาณ 05.30-06.00 น.

สำหรับการดำเนินการทางคดี เบื้องต้นพนักงานสอบสวน สภ.ปทุมรัตต์ จว.ร้อยเอ็ด ได้รับคำร้องทุกข์ไว้ดำเนินคดีแล้ว โดยนายกนกพล ผู้ต้องหาจะถูกดำเนินคดีในข้อหา “เสพสุราหรือเมาของอย่างอื่น เป็นเหตุให้ตนเมาประพฤติตนวุ่นวายหรือครองสติไม่ได้ขณะอยู่ในทางสาธารณะ, กระทำด้วยประการใดๆ ต่อผู้อื่นอันเป็นการรังแก ข่มเหง คุกคาม หรือกระทำให้ได้รับความอับอายหรือเดือดร้อนรำคาญ, พาอาวุธ(มีด)ติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ, ต่อสู้หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติการตามหน้าที่โดยใช้อาวุธ(มีด) และฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะเหตุที่จะกระทำหรือได้กระทำการตามหน้าที่”

...

ส่วน ร.ต.ท.อุทัย ที่ใช้อาวุธปืนยิงผู้ต้องหา ถ้าหากการสอบสวนบ่งชี้ได้ว่า เหตุที่ต้องใช้อาวุธปืนยิงผู้ต้องหานั้น เพียงเพื่อต้องการที่จะป้องกันมิให้ผู้ต้องหาใช้อาวุธมีดฟันตนเองเท่านั้น ย่อมเป็นการกระทำเพื่อป้องกันภยันตรายที่เกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถือได้ว่าเป็นการป้องกันตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย

และในวันเดียวกันนี้ (21 มิ.ย.64) เวลาประมาณ 16.30 น.พล.ต.ท.ยรรยง เวชโอสถ ผบช.ภ.4 ได้เป็นประธานในพิธีรดน้ำศพ ร.ต.ท.อุทัย จ่าภา รอง สว.(สส.) สภ.ปทุมรัตต์ จว.ร้อยเอ็ด ซึ่งเสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ ณ วัดสระปทุม อ.ปทุมรัตต์ จว.ร้อยเอ็ด โดยมี นายชยันต์ ศิริมาศ ผวจ.ร้อยเอ็ด, พล.ต.ต.ไพโรจน์ มังคลา ผบก.ภ.จว.ร้อยเอ็ด, พล.ต.ธวัชชัย แจ้งประจักษ์ ผบ.มทบ.27, ข้าราชการตำรวจ และพ่อค้า ประชาชนในพื้นที่ร่วมในพิธี

ในการนี้ ผบช.ภ.4 ได้มอบเงินส่วนตัวเพื่อช่วยเหลือครอบครัวของผู้เสียชีวิตเป็นเงินจำนวน 30,000 บาท และเงินสวัสดิการสงเคราะห์ช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่อีกของมูลนิธิต่างๆ ของตำรวจภูธรภาค 4 อีกจำนวน 50,000 บาท รวมเป็นเงินช่วยเหลือเบื้องต้นให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตเป็นเงินจำนวน 80,000 บาท ส่วนเงินสวัสดิการในส่วนอื่นที่จะได้รับจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ นั้น อยู่ที่ประมาณ 3 ล้านบาทเศษ สำหรับสิทธิประโยชน์ในส่วนอื่นของผู้เสียชีวิต ในเบื้องต้นจากการตรวจสอบ ร.ต.ท.อุทัย ได้เสียชีวิตจากการเข้าไประงับเหตุคนร้ายเมาสุราอาละวาด และถูกคนร้ายใช้อาวุธมีดฟันจนถึงแก่ความตาย ถือได้ว่าเป็นการเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งจะได้บำเหน็จความชอบ เลื่อนขั้นเงินเดือน 7 ขั้น และเลื่อนยศ 5 ชั้นยศ เป็นยศ พลตำรวจตรี และสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะได้บรรจุทายาทของ ร.ต.ท.อุทัย เข้ารับราชการตำรวจ (ในกรณีสมัครใจเข้ารับราชการตำรวจ)