ทนายษิทรา เผย "ลุงพล" งงถูกออกหมายจับคดีน้องชมพู่ ทำใจนอนห้องขัง มั่นใจไม่มี DNA "ลุงพล" เกี่ยวข้องกับคดีน้องชมพู่
จากกรณี เจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายจับ นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล 3 ข้อหา ในคดีน้องชมพู่ โดยมี ทนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือ ทนายตั้ม ซึ่งเป็นทีมทนายความของ นายไชย์พล ซึ่งล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คุมตัว นายไชย์พล หรือ ลุงพล ไปควบคุมตัว และสอบสวนเพิ่มเติมในบางประเด็นที่ สภ.กกตูม ก่อนที่จะนำตัวไปขออำนาจศาลฝากขังอีกครั้ง ในวันที่ 4 มิ.ย. ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทนายษิทรา ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการไทยรัฐนิวส์โชว์ ว่า ตอนนี้กำลังไปที่ สภ.กกตูม หลังจากที่ไปให้การที่ ตำรวจภูธร จ.มุกดาหาร เรียบร้อยแล้ว ซึ่งก็ไม่ได้ให้การอะไรมาก เนื่องจากที่ผ่านมา นายไชย์พล ก็ให้การมาหลายครั้งแล้ว ก็ยืนยันตามคำให้การเดิม ส่วนอย่างอื่นก็จะไปให้การเพิ่มเติมในชั้นศาล ส่วนที่เพิ่มมาจริงๆ ก็คือ อ้างพยานเพิ่มเติมไปทั้งหมด 3 ปาก ตอนนี้กำลังจะเดินทางไปที่ สภ.กกตูม เพื่อพิมพ์ลายนิ้วมือ และทำรายละเอียดอื่นๆ เกี่ยวกับคดี
ทนายษิทรา เผยต่อว่า เบื้องต้น นายไชย์พล ได้ปฏิเสธทุกข้อหา ซึ่งขั้นตอนหลังจากนี้ จากข่าวที่เห็นคือ เจ้าหน้าที่จะคัดค้านการประกันตัวในชั้นสอบสวน ซึ่งตนยังไม่ได้ขอยื่นเลย แต่จากการปรึกษากับทางนายไชย์พล ว่าจะเอาอย่างไรดี ซึ่งเราก็จะยื่นตามสิทธิ์ไป แม้รู้ว่าอาจจะไม่ได้ โดยเมื่อไปถึง สภ.กกตูม ก็จะได้ยื่นประกันตัว นายไชย์พล ซึ่งเตรียมหลักทรัพย์มาพร้อมแล้ว
เมื่อถามว่า ได้คุยกันเรื่องหมายจับหรือไม่ ทนายษิทรา บอกว่า นายไชย์พล ก็ยังงงอยู่ว่า หมายจับมาออกที่เขาได้อย่างไร เกี่ยวกับเรื่องพยานหลักฐาน ที่ตำรวจมั่นใจ ตนจะขอพูดอีกครั้งพรุ่งนี้ เบื้องต้นลุงพลไม่เครียด แต่อาจจะอึดอัดตรงที่ต้องใส่กุญแจมือนิดหน่อย ซึ่งเบื้องต้นก็ได้ให้คำปรึกษาในเรื่องของกระบวนการทั้งหมดแล้ว ว่าจะต้องเป็นอย่างไรบ้าง ทำให้ลุงพลทราบมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า วันนี้จะต้องเจอกับอะไรบ้าง
เมื่อถามว่า หากไม่ได้รับการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวนในวันนี้ จะมีผลอย่างไร ทนายษิทรา ระบุว่า ลุงพลทำใจแล้ว ว่าวันนี้อาจจะต้องนอนในห้องขังที่ สภ.กกตูม เพราะเห็นข่าวตำรวจคัดค้านการประกันตัวไปก่อนแล้ว และต้องไปขอศาลฝากขังในวันที่ 4 มิ.ย.64 เนื่องจากพรุ่งนี้เป็นวันหยุด
...

ต่อข้อถาม ถ้าได้ประกันตัว ทนายษิทรา ระบุว่า ถ้าได้ประกันตัว ก็กลับบ้านได้ ถ้าไม่ได้ต้องนำตัวไปฝากขัง เนื่องจากตำรวจมีอำนาจควบคุมตัว 48 ชม. จากนั้นตนก็จะต้องไปทำเรื่องการขอปล่อยตัวที่ศาล (ขอประกันตัว)
เมื่อถามว่า จากหมายจับ 3 ข้อหาที่ออกมา ทีมทนายคิดว่าสู้ได้หรือไม่ ทนายษิทรา บอกว่า ตนมั่นใจ ก่อนที่จะรับทำคดี ตนได้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ตามที่เคยบอกกับสื่อแล้ว และตนก็พอจะทราบว่าตำรวจมีหลักฐานอะไรบ้างจากข่าว และจากที่สื่อวิเคราะห์ ซึ่งตนก็อยากฝากโจทย์ไว้ที่ไทยรัฐข้อหนึ่งว่า ตนเชื่อ และมั่นใจว่า ไม่มีดีเอ็นเอของลุงพล เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องของน้องชมพู่เสียชีวิต
นอกจากนี้ ทนายษิทรายังบอกด้วยว่า เอาจริงๆ ถ้าเป็นหมายเรียก ตนก็จะพาลุงพลไปแล้ว แต่ที่เป็นการออกหมายจับเลย อาจจะต้องการให้ดูแรง เพื่อกลบข่าวอะไรหรือไม่ อันนี้ตนไม่รู้ แต่ที่ทำมาทั้งหมด เราก็บอกแล้วว่าเรายินดีที่จะมาพบตำรวจทุกครั้ง
เมื่อถามว่า ทำไมไม่ไปมอบตัวที่ สภ.กกตูม ไปทำไมที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทนายษิทรา ระบุว่า เมื่อคืนหลังจากที่มีกระแสข่าวออกมา เราจะไม่ทำอะไรที่ไม่มั่นใจว่า มีหมายจับแล้วจริงๆ แต่ถ้าเมื่อคืนเราเห็นหมายจับ เราก็จะพาไปมอบตัวเลย แต่เมื่อวานมีแต่การโพสต์เฟซบุ๊ก และข่าวจากสื่อ ซึ่งถ้าหากตนพาลุงพลไปมอบตัวที่ สภ.กกตูม เลย คนก็จะหาว่าตนและลุงพลร้อนตัว ฉะนั้นการที่ตนเป็นทนาย ก็อยากที่จะเห็นก่อนว่าใช่หมายจับจริงๆ จึงบอกให้ลุงพลมาหาตนก่อน แล้วก็ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร พอตอนเช้าจังหวะที่ลุงพลเดินทาง เราได้ดูไลฟ์สดว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปที่บ้าน ทำให้เราแน่ใจว่ามีการออกหมายจับจริงๆ จากนั้นก็ปรึกษากันว่าควรจะมอบตัว โจทย์ต่อมา แล้วจะมอบที่ไหน ซึ่งหากจะกลับไปที่กกตูมอีก ก็คงโดนรวบก่อน จึงต้องหาที่สะดวก แต่หากไปมอบตัวที่โรงพักอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดี ก็แปลก จึงไปมอบตัวกับ ผบ.ตร. ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะทำงานในคดีนี้ตั้งแต่แรก จากนั้นจึงมีการประสานไป ตอนแรกก็ยินดีให้ตนเข้าไป แต่ตอนหลังมีคนมาบอกว่าไม่อนุญาตให้เข้าไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และจะดักจับทุกทาง ซึ่งตนก็ขับรถจะมาถึงอยู่แล้ว
ส่วนที่มีภาพออกมา ลุงพลแสดงอาการขัดขืนเล็กน้อย ขณะที่ตำรวจจะคุมตัว ทั้งๆ ที่เต็มใจมามอบตัว ทนายษิทรา ระบุว่า จังหวะนั้นตนเข้าไปพอดี ลุงพลน่าจะไปกระแทกอะไรกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งตนไม่แน่ใจ ทำให้เข้าใจว่าอาจจะใช้ความรุนแรง จึงฮึดฮัดขึ้นมา แต่หลังจากนั้นก็เข้าใจกันดี ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจกระทำไปด้วยการให้เกียรติ
ขณะที่ป้าแต๋นเอง ซึ่งตามไปกับลุงพลด้วยนั้น ไม่ขอที่จะให้สัมภาษณ์ใดๆ
นอกจากนี้ ทนายษิทรา ยังบอกด้วยว่า ลุงพลอยากที่จะเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ต้นแล้ว แต่ตอนแรกก็หวังว่าเจ้าหน้าที่จะใช้แค่หมายเรียก แต่เมื่อออกหมายจับมาแล้ว ก็ทำให้ลำบากในหลายอย่าง ซึ่งในสังคมไทยมักมีความเชื่อว่า ผู้ที่โดนหมายจับ ต้องมีความผิดแน่ เพราะไม่อย่างนั้นศาลจะออกหมายจับได้อย่างไร แต่ก็มีหลายคดีที่ผู้ถูกออกหมายจับแสดงความบริสุทธิ์ในชั้นศาลได้ก็พ้นคดี แต่พอถึงตอนนั้นคนก็เข้าใจไปแล้วว่า เป็นผู้กระทำความผิด ดังนั้น ตนอยากจะให้ใจเย็น อย่าเพิ่งตัดสินใคร เนื่องจากไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ แม้กระทั่งตน แต่ตนในฐานะทนายต้องไปดูพยานหลักฐานต่างๆ ซึ่งเราก็ทำหน้าที่ของเราในการรักษาผลประโยชน์ของลูกความ แต่ท้ายที่สุด ก็ต้องให้ศาลเป็นผู้ตัดสิน
เมื่อถามว่า ความมั่นใจของทนายตั้มคือ ลุงพล ไม่ได้พา หรือทำอะไรจนทำให้ชมพู่เสียชีวิต หรือมั่นใจว่า ไม่มีหลักฐานของลุงพล อยู่ในที่เกิดเหตุ โดยเฉพาะจุดที่เจอศพ ทนายษิทรา ระบุว่า ตนจะมั่นใจในข้อหลังไม่ได้ เพราะถ้าแบบนั้นตนต้องเห็นสำนวนการสอบสวนแล้ว แต่ตนดูพฤติการณ์ในคดีทั้งหมด ทำให้ตนรู้ แต่ก็ไม่อยากการันตี เพราะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ แต่มั่นใจในพยานหลักฐานที่จะสู้คดีมากกว่า.