ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีปลอมเอกสารโอนหุ้น เสี่ยชูวงษ์ จำคุก "บรรยิน" 8 ปี "น้ำตาล" พริตตี้คนสนิท-"ป้อนข้าว" โบรกเกอร์สาว คนละ 4 ปี ส่วนแม่ ไม่พบความผิด ยกฟ้อง

วันที่ 20 มี.ค.63 ที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ ถ.เจริญกรุง ศาลนัดอ่านคำพิพากษาคดีปลอมเอกสารโอนหุ้นของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง หรือเสี่ยจืด อายุ 50 ปี นักธุรกิจรับเหมาหมื่นล้าน หมายเลขดำ อ.305/2561 (รวมกับคดีที่ผู้เสียหายเป็นโจทก์ร่วมแล้ว) ที่พนักงานอัยการ สำนักงานคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 เป็นโจทก์ และนางศิริรัตน์ แซ่ตั๊ง อายุ 57 ปี ภรรยาของนายชูวงษ์ ในฐานะผู้จัดการมรดกสามี กับครัวของนายชูวงษ์ รวม 4 ราย ที่เป็นผู้เสียหาย เป็นโจทก์ร่วม

ยื่นฟ้อง น.ส.กัญฐณา หรือน้ำตาล ศิวาธนพล อายุ 30 ปี อดีตพริตตี้คนสนิทของ พ.ต.ท.บรรยิน น.ส.อุรชา หรือป้อนข้าว วชิรกุลฑล (ชื่อปัจจุบัน น.ส.วัชรียา หรือน้ำมนต์ วัชรประยงค์วุฒิ) อายุ 29 ปี เจ้าหน้าที่การตลาด หรือโบรกเกอร์บริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง และคนสนิทของ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อายุ 57 ปี อดีต รมช.พาณิชย์ และอดีต ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชาชน และ น.ส.ศรีธรา พรหมา อายุ 56 ปี มารดาของ น.ส.อุรชา เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม ลักทรัพย์ และรับของโจร

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของพนักงานอัยการโจทก์ที่ 1 และนางศิริรัตน์ แช่ตั๊ง โจทก์ที่ 2 และจำเลยทั้งสี่แล้วเห็นว่า เอกสารใบคำขอถอนโอนหลักทรัพย์ทั้งสองบริษัทที่โอนหุ้นไปให้ จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของนายชูวงษ์มีการแก้ไขเพิ่มเติมข้อความ ทั้งการโอนไม่ได้เป็นไปตามระเบียบของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและบริษัทหลักทรัพย์ทั้งสองตามที่เจ้าหน้าที่ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและเจ้าหน้าที่ของบริษัทอาร์เอชบี โอเฮสเค(ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์เออีซี จำกัด (มหาชน) เบิกความ

...

ทั้งได้ความจากพยานบุคคล พยานเอกสาร และวัตถุพยานซึ่งเป็นบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิดว่า จำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเป็นพิเศษมากกว่านายชูวงษ์ ไม่มีเหตุที่นายชูวงษ์จะโอนหุ้นจำนวนมากให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นมารดาของจำเลยที่ 2
ซึ่งจำเลยที่ 2 ไม่สามารถรับโอนหลักทรัพย์ดังกล่าวเป็นของตนเองได้ เนื่องจากเป็นเจ้าหน้าที่ของบริษัทหลักทรัพย์ ต้องให้จำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นมารดาเป็นผู้รับโอนแทน โทรศัพท์ที่ใช้ในการยืนยันการโอนหุ้นอยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 3 เสียงพูดโทรศัพท์ที่ยืนยันการโอนหุ้นไม่ใช่เป็นเสียงของนายชูวงษ์ช แต่พยานที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับนายชูวงษ์และจำเลยที่ 3 ยืนยันว่าเป็นเสียงจำเลยที่ 3

ก่อนและหลังการโอนหุ้นจากการตรวจสอบการใช้โทรศัพท์และภาพจากกล้องวงจรปิดในสถานที่ต่างๆ พบว่าจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 2 ได้พบปะและพูดคุยบ่อย รวมทั้งระหว่างที่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 ไปเบิกเงินจากที่ได้จากการขายหลักทรัพย์ที่รับโอนมา ทำให้เชื่อว่า ในการโอนหุ้นให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 4 มารดาจำเลยที่ 2 นั้น นายชูวงษ์ไม่มีส่วนรู้เห็น แต่จำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 ร่วมกันปลอมใบคำขอถอน/โอนหลักทรัพย์และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของนายชูวงษ์แล้วโอนหุ้นของ บริษัทพลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) (EA) จำนวน 9,500,000 หุ้น มูลค่า 228,000,000 บาท รวมทั้งจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 2 โอนหุ้นของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BBL), บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) (CPN) หลักทรัพย์ของบริษัทปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) (PTTEP) รวมมูลค่า 25,050,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 4 มารดาของจำเลยที่ 2

ส่วนจำเลยที่ 4 ศาลเห็นว่าในขณะที่จำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 ร่วมกันปลอมคำขอถอน/โอนหลักพรัพย์และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของนายชูวงษ์นั้น จำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 3 เป็นคนดำเนินการโดยจำเลยที่ 2 แจ้งกับจำเลยที่ 4 ว่า คนรักของจำเลยที่ 2 เป็นคนดำเนินการโอนหุ้นให้ พยานหลักฐานยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 4 มีส่วนร่วมในการปลอมใบคำขอถอน/โอนหลักทรัพย์และสำเนาบัตรประจำตัวประชาชของนายชูวงษ์ดังกล่าวตามฟ้อง แต่เข้ามาเกี่ยวข้อง

หลังจากจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ดำเนินการโอนหุ้นเข้ามาในบัญชีหลักทรัพย์ที่เปิดไว้ในชื่อจำเลยที่ 4 หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 ร่วมกันขายหุ้นที่รับโอนมาเข้าบัญชีของจำเลยที่ 4 แล้วจำเลยที่ 4 เป็นคนดำเนินการเบิกถอนเงินจำนวนดังกล่าว ซึ่งในชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาจำเลยที่ 4 ว่า ร่วมกันลักทรัพย์หรือรับของโจร แต่พนักงานอัยการสั่งไม่ฟ้อง โดยโจทก์ที่ 2 ฟ้องจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 4 ว่า ร่วมกันลักทรัพย์และรับของโจรเงินที่ได้จากการขายหุ้นดังกล่าวด้วย แต่ศาลไต่สวนแล้วเห็นว่าข้อหาดังกล่าวไม่มีมูลคดีถึงที่สุดไปแล้ว

พิพากษาให้จำคุกน.ส.กัญฐณาหรือน้ำตาล ศิวาธนพล จำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี จำคุก น.ส.อุรชาหรือป้อนข้าว วชิรกุลฑล จำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี จำคุก พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ กระทงละ 4 ปี รวม 2 กระทง รวมจำคุก 8 ปี ยกฟ้องในส่วนจำเลยที่ 4

คดีนี้เพื่อมิให้กระทบกระเทือนต่อความยุติธรรมในการพิพากษาคดี จึงมีการเรียกคืนสำนวนคดีหรือโอนสำนวนคดีให้ผู้พิพากษาอื่นทำคำพิพากษา ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 33 วรรคหนึ่ง