ผลตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอกะโหลกศีรษะ-คราบเลือด อย่างไม่เป็นทางการ สรุปเป็นของพี่ชายผู้พิพากษา ตำรวจเตรียมแจ้งข้อหาแก๊งอุ้มฆ่าเพิ่ม เผย “บรรยิน” คนเดียว ส่อโดนถึง 13 ข้อหา แต่งเครื่องแบบตำรวจ โดยไม่มีสิทธิ์

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 27 ก.พ.63 ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบช.ก., พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป., พล.ต.ต.สันติ ชัยนิรามัย ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. เรียกประชุมชุดทำงานสืบสวนสอบสวน กองปราบปราม และ บก.สส.บช.น. เพื่อติดตามแนวทางคดีการอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ ที่มี พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ พร้อมพวกรวม 6 คน ตกเป็นผู้ต้องหา โดยใช้เวลาประชุมนานร่วม 2 ชั่วโมง

โดยภายหลังการประชุม พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวว่า สำหรับคดีการอุ้มฆ่า นายวีรชัย ศกุนตะประเสริฐ พี่ชายผู้พิพากษา ตอนนี้มีความคืบหน้าไปแล้ว 70 เปอร์เซ็นต์ แต่ผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอของชิ้นส่วนกระดูกกับกะโหลกศีรษะมนุษย์ที่พบในผืนดินรกร้าง จ.นครสวรรค์ ยังไม่มีรายงานออกมาอย่างเป็นทางการ

ทั้งนี้มีรายงานในที่ประชุมว่า พล.ต.อ.สุวัฒน์ ได้เน้นย้ำชุดทำงานให้เร่งพิสูจน์ทราบพยานแวดล้อม และยืนยันตัวบุคคลในภาพวงจรปิด ตลอดจนให้ชุดสอบสวนทำสำนวนให้รัดกุม ในส่วนของการคลี่คลายคดีอุ้มฆ่าพี่ชายผู้พิพากษาศาลอาญากรุงเทพใต้ ขณะนี้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้สอบปากคำพยานในคดีการอุ้มฆ่าไปแล้ว 40 ปาก เหลืออีก 20 ปาก เพื่อที่จะรวบรวมสำนวนส่งฟ้องได้ โดยจากนี้ชุดสืบสวนอยู่ระหว่างการประสานเพื่อขอตรวจสอบเส้นทางการเงินของกลุ่มผู้ต้องหา เพื่อตรวจสอบหาเงินจำนวน 2 แสนบาท ซึ่งเป็นเงินค่าจ้างในการก่อเหตุ หลังจากหนึ่งในกลุ่มผู้ต้องหาให้การรับว่า พ.ต.ท.บรรยิน ได้ให้เงินจำนวน 2 แสนบาท กับ ส.จ.อ๊อด ก่อนที่จะแบ่งให้นายประชาวิทย์ และนายชาติชาย คนละ 5 หมื่นบาท

...

รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับผลการตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอของชิ้นส่วนกระดูกบริเวณกะโหลกศีรษะที่พบในพื้นที่รกร้าง จ.นครสวรรค์ และคราบเลือดบนรถโตโยต้า สปอร์ตไรเดอร์ ที่ใช้เป็นเป็นพาหนะในการก่อเหตุ มีผลอย่างไม่เป็นทางการออกมาแล้วว่า เป็นของนายวีรชัย แต่ผลการตรวจอย่างเป็นทางการจะออกมาภายในสัปดาห์หน้า

อย่างไรก็ตาม หากผลตรวจออกมาอย่างเป็นทางการจะนำมารวบรวมเพื่อประกอบนำสำนวน หากเป็นไปตามนี้พนักงานสอบสวนกองปราบปรามจะแจ้งข้อหากล่าวหาผู้ต้องหาทั้ง 6 ราย เพิ่มอีก 4 ข้อหา ประกอบไปด้วย ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเสี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยว หรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย เป็นเหตุให้ผู้ถูกหน่วงเหนี่ยวถูกกักขังหรือต้องปราศจากเสรีภาพในร่างกายนั้นถึงแก่ความตาย, ซ่อนเร้นอำพรางศพ และเรียกค่าไถ่ เป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย

นอกจากนี้ในรายของ พ.ต.อ.บรรยิน จะถูกแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มอีก 3 ข้อหา มีการแต่งกายโดยใช้เครื่องแต่งกายคล้ายเครื่องแบบตำรวจ และกระทำการใดๆ อันทำให้ราชการตำรวจถูกดูหมิ่นหรือถูกเกลียดชัง หรือทำให้เกิดความเสื่อมเสียแก่ราชการตำรวจ หรือทำให้บุคคลอื่นหลงเชื่อว่าตนเป็นตำรวจ, แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงาน และแต่งเครื่องแบบตำรวจโดยไม่มีสิทธิ์ เนื่องจากในวันเกิดเหตุที่อุ้มนายวีรชัยที่หน้าศาล พ.ต.ท.บรรยินได้ใส่เครื่องแบบก่อนที่จะออกอุบายเข้าไปแสดงตัวกับนายวีรชัยเพื่อขอตรวจสอบบัตรประชาชนก่อนพาขึ้นรถไป

รายงานข่าวแจ้งว่า จากการสอบปากคำพยานแวดล้อมและบุคคลใกล้ชิด ต่างให้การเชื่อมโยงสอดคล้องกับข้อมูลที่ชุดสืบสวนพบ โดยเฉพาะในเรื่องของรถที่ใช้ในการก่อเหตุ ที่บุคคลใกล้ชิด ซึ่งเป็นลูกน้องภายในบ้านของ พ.ต.ท.บรรยิน ต่างยืนยันว่า รถกระบะโตโยต้า รุ่นสปอร์ตไรเดอร์ หมายเลขทะเบียน ชฉ 583 กรุงเทพมหานคร ที่เป็นของกลางทางคดีเป็นรถที่ พ.ต.ท.บรรยินใช้เป็นประจำ รวมทั้งแม่บ้านของ พ.ต.ท.บรรยิน ยังยืนยันว่า ซิมการ์ดที่กลุ่มผู้ต้องหาใช้ติดต่อ เป็นคนไปซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์ให้ภรรยายของ พ.ต.ท.บรรยิน เมื่อวันที่ 5 ม.ค.63

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้คณะพนักงานสอบสวนกองปราบปราม แจ้งข้อหากลุ่มคนร้ายทั้งหมดรวม 6 ข้อหา คือ 1.ข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน 2.ข้อหาร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 3.ข้อหาร่วมกันข่มขืนใจเจ้าพนักงาน 4.ข้อหาซ่องโจร 5.ข้อหาเรียกค่าไถ่ และ 6.ข้อหาหน่วงเหนี่ยวกักขังให้สูญสิ้นอิสรภาพ.