กว่า 1 สัปดาห์ ยังไร้วี่แววโจรปล้นทองห้างลพบุรี มีผู้เสียชีวิตไป 3 คน สร้างความเศร้าเสียใจให้กับคนในครอบครัวเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะภาพสะเทือนใจยังวนเวียนอยู่ ขณะกระสุนมัจจุราชออกจากลำกล้องปืนเก็บเสียง พุ่งเจาะกลางหน้าผากน้องไทตัล เด็กชายวัย 2 ขวบ จนล้มลงต่อหน้าแม่และเสียชีวิตในที่สุด

แม้ช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา ดูเหมือนจะมีข่าวดีเจ้าหน้าที่ได้ข้อมูลเบาะแสคนร้าย แต่แล้วก็กลับนิ่งเงียบ ท่ามกลางความสงสัยของคนในสังคมว่ามือก่อเหตุจะเป็นคนมีสีหรือไม่? ถึงมีอุปสรรคมากมายในการติดตามจับกุม

ล่าสุด พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งลงพื้นที่ติดตามคดี "ปล้นร้านทอง" ด้วยตัวเอง ออกมาระบุพบข้อมูลเบาะแสบางส่วน ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ พร้อมเชื่อว่าคนร้ายไม่ได้อยู่ในพื้นที่แล้ว เพราะสื่อมวลชนนำเสนอข่าวจนคนร้ายไหวตัว อาจหลบหนีไปพื้นที่ชายแดน และไม่มีใครให้ความช่วยเหลือ


หรือจะเป็นข่าวลวงเพื่อให้คนร้ายตายใจ โดย "ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์" พูดคุยกับ "รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล" ผู้ช่วยอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งระบุว่า ความยากง่ายของแต่ละคดีมีความแตกต่างกัน โดยยอมรับคดีนี้คนร้ายปล้นร้านทองมีการเตรียมการวางแผน พยายามไม่ทิ้งร่องรอย หรือแม้แต่รอยนิ้วมือแแฝง รวมทั้งศึกษาดูมุมกล้องวงจรปิดภายในห้างมาเป็นอย่างดี ศึกษาเส้นทางหลบหนี และใช้ยานพาหนะไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจคงต้องใช้พยานหลักฐานอย่างอื่นประกอบ

...

หลายสิ่งหลายอย่างได้ตอกย้ำเพราะที่ผ่านมามีหลายคดีล่าช้า เนื่องจากตำรวจไทยมีปัญหาการเชื่อมโยงระบบบิ๊กดาต้าเป็นข้อมูลในคดีต่างๆ เพื่อเชื่อมโยงตัวคนร้าย อย่างกรณีคนร้ายก่อคดีเล็กๆ น้อยๆ ในอดีต มีผู้เสียหายส่วนหนึ่งอาจไม่ไปแจ้งความ หรือตำรวจอาจไม่รับแจ้งความ เพียงแต่ลงบันทึกประจำวันเท่านั้น เพราะมองเป็นคดีเล็กน้อย แต่หากมีการทำระบบข้อมูลคดีที่เคยเกิดขึ้นแม้เป็นคดีเล็กๆ ก็จะสามารถติดตามเชื่อมโยงคนร้ายได้ เช่น อาจก่อเหตุตั้งแต่เป็นเด็กหากปล่อยไปไม่ได้รับการแก้ไข เมื่อโตขึ้นมาอาจกระทำความผิดที่รุนแรงและมีความก้าวร้าวมากขึ้น

“ตอนนี้จักรยานยนต์คนร้ายที่ใช้ก่อเหตุ อาจมีการแยกชิ้นส่วนไปแล้วก็ได้ เพราะเราไม่มีระบบวิเคราะห์ตัวบุคคล จึงทำให้คดีไร้วี่แววทำได้ยาก และกล้องวงจรปิดไม่ชัด ซึ่งทางห้างน่าจะมีมาตรการหากมีการจอดรถในที่ห้ามจอดตรงทางเข้าออก ดังนั้นคดีที่เกิดขึ้นเหมือนเป็นการถอดบทเรียน นำไปปรับปรุงแก้ไขเพื่อจะหยุดยั้งคดีอื่นๆ อย่างคดีปล้นทองที่ภูเก็ต และอีกหลายคดีที่ไม่เป็นข่าว จนถึงขณะนี้ยังปิดคดีไม่ได้ หรือตำรวจให้ความสนใจน้อย กลับกันคดีปล้นทองที่ลพบุรี ตำรวจให้ความสนใจเพราะคนในสังคมให้ความสนใจ ซึ่งต้องหาความเชื่อมโยงทั้งหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ทางเทคโนโลยีและพยานบุคคล”

อย่างไรก็ตามคาดว่าตำรวจอาจมีหลักฐานตรงประตูทางออกของห้าง จากถุงมือคนร้ายอาจมีปลายเปิดจะสามารถพิสูจน์ดีเอ็นเอ ตรวจเอกลักษณ์บุคคล รวมถึงตรวจสอบคนครอบครองปืนยี่ห้อซีแซดในพื้นที่ลพบุรี ทั้งจากปลอกกระสุนปืน และกระสุนในศพเหยื่อ ซึ่งบ่งบอกได้บางส่วนนำไปเปรียบเทียบกับปืนว่าเป็นกระบอกใด เนื่องจากปืนของแต่ละคนเหมือนเป็นอัตลักษณ์ แต่ปืนอาจมีการเปลี่ยนมือภายหลังก็ได้ หรือมีการโอนลอย

ส่วนกรณีผบ.ตร.ออกมาระบุคนร้ายหลบหนีไปชายแดน ซึ่งตนในฐานะเคยเป็นตำรวจกองปราบคิดว่าเป็นการปล่อยข่าวออกไป หาวิธีไม่ให้น้ำกระเพื่อมเหมือนการจับปลา ซึ่งตำรวจอาจมีการประกบติดตามตัวคนร้ายและแน่นอนต้องรู้ว่าใครครอบครองปืน รู้ว่าคนร้ายไปเส้นทางใด มีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มไหน และน่าจะรู้ว่ารถฟีโน่มาจากแหล่งใด หากจับคนร้ายได้ควรจับเป็นเพื่อเรียนรู้พฤติกรรมคนร้าย ซึ่งเชื่อว่าขณะนี้ตำรวจกำลังหาความเชื่อมโยงในการจับคนร้าย หรืออาจเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยที่ได้เรียกมาสอบปากคำ อาจมีการย้อนเกล็ดจับกุมภายหลังเมื่อมีหลักฐานชัดเจน

ขณะที่การตั้งข้อสังเกตว่าตำรวจรู้ตัวผู้ก่อเหตุแล้ว แต่ไม่สามารถทำอะไรได้นั้น ในประเด็นนี้มีความเป็นไปได้น้อยมาก เพราะกระทำผิดมนุษย์มีการยิงเด็ก อีกทั้งนายกรัฐมนตรีได้ส่งสัญญาณชัดเจน และสื่อได้เกาะติดเรื่องนี้เป็นรายวัน ซึ่งสร้างความกดดันให้กับตำรวจต้องจับกุมคนร้ายให้ได้ โดยที่ผ่านมาน่าจะเป็นความยากในการหาหลักฐาน สมมติมีผู้ต้องสงสัย 2 คน ทางตำรวจต้องมีหลักฐานชัดเจนในการขอศาลให้อนุมัติหมายจับ

"ทางการข่าวขณะนี้ อาจทำให้ผบ.ตร.เชื่อว่าคนร้ายหนีไปชายแดนแล้วก็ได้ เพราะเวลาคนร้ายก่อเหตุแน่นอนต้องคุ้นเคยในพื้นที่ หรือมีคนร่วมมือมากกว่า 1 คน หรือสิ่งที่ผบ.ตร.พูดอาจเป็นข่าวลวงแบบลับลวงพราง เพื่อให้คนร้ายตายใจ อาจเป็นคนมีสีเป็นตำรวจหรือทหาร หรือคนนอกราชการ ใช้อาวุธก่อเหตุ หรือคนเชี่ยวชาญเรื่องปืน ถามว่าหากเป็นทหารแล้วตำรวจไม่จับก็ต้องมีคำอธิบาย ขณะที่ทหารก็คงให้ความร่วมมืออย่างดีในการสืบสวนหาตัวคนร้าย เพื่อให้ประชาชนคลายข้อสงสัย แต่ลึกๆเชื่อว่าทหารคงให้ความร่วมมือ มิฉะนั้นความกดดันจะตกอยู่ที่ตำรวจและรัฐบาล ที่ไม่สามารถดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชนได้"

...

แม้ขณะนี้ยังไม่ทราบคนร้ายปล้นร้านทองเป็นใคร อาจเป็นคนมีสี มีความเชี่ยวชาญในการใช้อาวุธปืนอย่างโหดเหี้ยม หรืออาจเป็นคนที่เคยก่อเหตุอาชญากรรมมาก่อนก็เป็นไปได้ หรือคนที่ชื่นชอบอาวุธปืน ซึ่งมีพฤติกรรมเสพติดความรุนแรง ยกตัวอย่างกรณีสมคิด พุ่มพวง มีปัญหาเรื่องครอบครัวในสมัยเด็ก ยังสามารถฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น ทั้งๆ ที่หลับนอนกับเหยื่อ ซึ่งคดีนี้อาจไม่ใช่ฝีมือคนมีสีก็ได้ ต้องติดตามการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายล้วนแล้วแต่มีฝีมือในการสอบสวน น่าจะคลี่คลายคดีได้.