ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น จำคุกตลอดชีวิต “เล่าต๋า แสนลี่” นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ ปรับ 2.5 ล้านบาท ให้ประหารลูกชายซึ่งเป็นอดีตกำนัน ต.ท่าตอน อ.แม่อาย
เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ศาลอาญา ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่พนักงานอัยการฝ่ายคดียาเสพติด 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายเล่าต๋า แสนลี่ อายุ 80 ปี นักค้ายาเสพติดระดับชาติ, นางอาส่าหม่า แสนลี่ อายุ 70 ปี ภรรยา, นางรพีกาญจน์ หรือจันทร์ฉาย หรือไก่ ภพเพชรลักษณ์ หรือทรายมูล อายุ 60 ปี, นายวิจารณ์ แสนลี่ อายุ 43 ปี บุตรชาย ซึ่งเป็นอดีตกำนัน ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ และนายบารมี บารมีเกื้อกูล อายุ 40 ปี บุตรชาย (ต่างนามสกุล) ทั้งหมดเป็นชาว จ.เชียงใหม่ เป็นจำเลยที่ 1-5 ในความผิดฐาน ร่วมกันสมคบและร่วมกันจำหน่าย ยาไอซ์ ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 โดยไม่ได้รับอนุญาต, ความผิด พ.ร.บ.อาวุธปืน และเครื่องกระสุนปืนฯ พ.ศ.2490
อัยการฟ้องว่าเมื่อวันที่ 20 กันยายน – 11 ตุลาคม 2559 นายเล่าต๋า, นางอาส่าหม่า และนางรพีกาญจน์ จำเลยที่ 1-3 มียาไอซ์ 1 ถุง หนักกว่า 900 กรัม ซึ่งนำมาจำหน่ายให้กับสายลับ ราคา 550,000 บาท ที่นายเล่าต๋า จำเลยที่ 1 เป็นผู้ติดต่อเจรจาซื้อขายยา
ส่วนนายวิจารณ์ และนายบารมี จำเลยที่ 4-5 เป็นผู้จัดหายาไอซ์ ชนิดผลึกสีขาว จำนวน 20 ถุง หนักประมาณ 19 กิโลกรัมเศษ จำหน่ายให้แก่สายลับที่เข้าล่อซื้อราคา 11 ล้านบาท โดยที่นายวิจารณ์ กับนายบารมี ยังทำหน้าที่คุ้มกันให้นายเล่าต๋า ระหว่างส่งมอบยาเสพติดด้วย ซึ่งระหว่างที่ถูกจับกุมนายเล่าต๋า จำเลยที่ 1 มีอาวุธปืนสั้นและปืนยาว รวม 2 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุนจำนวนมาก
เหตุเกิดที่ปั๊มน้ำมัน “เล่าต๋า ปิโตรเลียม” เลขที่ 137 ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ และที่อื่นเกี่ยวพันกัน ชั้นสอบสวนนายเล่าต๋าและนางอาส่าหม่า ภรรยา ให้การรับสารภาพเฉพาะข้อหามียาเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเท่านั้น ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ ขณะที่นางรพีกาญจน์ ให้การรับสารภาพโดยตลอด ส่วนนายวิจารณ์ รับสารภาพเฉพาะข้อหากระทำผิด พ.ร.บ อาวุธปืนฯ เท่านั้น และนายบารมีที่ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา
...
ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2560 ว่า จำเลยที่ 1-5 กระทำผิดตามฟ้องทั้ง 2 กรรม ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต ปรับ 5 ล้านบาท จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพลดโทษ ในกรรมแรก (900กรัม) จำคุก 25 ปี กรรมที่ 2 (19 กก.) ให้จำคุกตลอดชีวิต รวมเเล้วคงจำคุกตลอดชีวิต ปรับ 2.5 ล้านบาท เเก่จำเลยที่ 1 ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ปรับ 5 ล้าน รับสารภาพเหลือ 25 ปี ปรับ 2.5 ล้านบาท
ส่วนจำเลยที่ 3 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ปรับ 5 ล้านบาท ส่วนจำเลยที่ 4 ให้ประหารชีวิต และฐานพาอาวุธปืน ปรับ 1,000 บาท การที่จำเลยที่ 4 เป็นเจ้าพนักงานของรัฐให้บวกโทษจำคุกอีก 3 เท่า เมื่อลงโทษประหารชีวิตแล้ว จึงไม่อาจบวกโทษให้สูงไปกว่านี้ได้ ส่วนจำเลยที่ 5 ให้ประหารชีวิต
ต่อมาจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้ศาลลดโทษ และจำเลยที่ 3, 4, 5 อุทธรณ์ว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำความผิด ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่อุทธรณ์ยอมรับโทษตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โดยในวันนี้เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์เบิกตัว นายเล่าต๋า, นายวิจารณ์, นายบารมี จากทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง และ นางรพีกาญจน์ มาจากทัณฑสถานหญิงกลาง จำเลยทั้งหมด เพื่อฟังคำพิพากษา นายเล่าต๋ามีสีหน้าหมองคล้ำ ซูบผอม ส่วนจำเลยอื่นพูดแต่ภาษาจีนกับญาติที่มาฟังคำพิพากษา
ศาลอุทธรณ์ประชุมองค์คณะปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่า คดีนี้จำเลยที่ 1 ขอให้ลดโทษโดยให้ลงโทษสถานเบา แต่มีข้อกฎหมาย ป.วิอาญามาตรา 245 วรรคสองเป็นบทบังคับให้ศาลชั้นต้นต้องส่งคำพิพากษาคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต ให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยในเนื้อหาการกระทำอีกครั้งว่า จำเลยได้กระทำความผิดหรือไม่ แม้จำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ในเนื้อหา คดีจึงต้องพิจารณาว่าจำเลยที่ 1, 3, 4 และ 5 กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่เห็นว่า เมื่อระหว่างเดือนเม.ย. ถึงต.ค. ปี 2559 ตำรวจชุดจับกุมและเจ้าหน้าที่ป.ป.ส.สืบทราบว่า จำเลยที่ 3 เป็นเครือข่าย จำเลยที่ 1 มีหน้าที่เป็นนายหน้าหาลูกค้ามาให้ โดยกินค่านายหน้าเป็นเปอร์เซ็นต์กันมานาน จึงวางแผนให้ ด.ต.หญิง (ขอสงวนชื่อและนามสกุล) ปลอมตัวเป็นสายลับ ไปเจรจาขอซื้อยาไอซ์สีขาว จำนวน 949.55 กรัม ราคา 5.5 แสนบาทในเดือนต.ค.2559 ที่สถานีบริการน้ำมันเล่าต๋า ตั้งอยู่ที่หมู่ 12 ต.ท่าตอน อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ และจำเลยที่ 3 พาไปรู้จักกับนายเล่าต๋า ตกลงซื้อขายกันโดยส่งมอบธนบัตรที่ทำตำหนิประกอบกับเจ้าหน้าที่มีการวางแผนการจับกุม มีการบันทึกภาพขั้นตอนการซื้อขายเป็นลำดับ
เมื่อได้ซื้อขายกันรอบแรกแล้ว วันที่ 11 ต.ค.59 ด.ต.หญิง สายลับจึงทำทีขอซื้อยาไอซ์จำนวนที่ 2 หนัก 18.8 กก. ราคา 11 ล้านบาท เจ้าหน้าที่ได้กระจายกำลัง บริเวณสถานีบริการพบว่านายเล่าต๋าจะนั่งอยู่ที่เดิม มีจำเลยที่ 4 กับ 5 ยืนคุมเชิงอยู่บริเวณลานจอดรถ เมื่อทำการซื้อขายกันตำรวจก็บันทึกภาพไว้ โดยจำเลยที่ 1 บอกให้ไปเอายาไอซ์ในถุงที่วางไว้ข้างต้นไม้ หน้าสำนักงานของสถานีติดกับร้านกาแฟสด จำเลยที่ 4 กับ 5 ได้เดินตามประกบสายลับมา และโบกรถให้เข้ามาจอดเพื่อรอรับเงินค่ายาไอซ์ ด.ต.หญิง จึงแสดงตัวเข้าจับกุมตัวได้พร้อมยาไอซ์ ขณะนั้นนายเล่าต๋านั่งอยู่หน้าร้านกาแฟภายในสำนักงานของสถานีบริการน้ำมันเพื่อกำกับดูแลการค้าขาย ตำรวจจึงเข้าจับกุมนายเล่าต๋าพร้อมกับพาไปค้นที่รถพบอาวุธปืน และรับสารภาพในชั้นสอบสวน
ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่าพยานโจทก์เจ้าพนักงานตำรวจมีการวางแผนติดตามเฝ้าดูพฤติกรรมของกลุ่มนายเล่าต๋ามานาน จนวางแผนเป็นขั้นตอน ประกอบกับไม่เคยรู้จักหรือโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน จึงไม่มีเหตุกลั่นแกล้ง ข้อต่อสู้ของพวกจำเลยเกี่ยวกับอาวุธปืน เป็นข้ออ้างลอยๆ ศาลเชื่อว่าเป็นปืนที่ใช้คุ้มกันการค้ายาเสพติด ส่วนที่จำเลยที่ 3 เคยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวน ต่อมาอ้างว่าตนเป็นเพียงแม่ค้าผลไม้ ที่รับไปเพราะถูกนายตำรวจใหญ่บอกว่าจะกันเป็นพยาน ล้วนแต่เป็นคำกล่าวอ้างลอยๆ และไม่ถือรับเอาประโยชน์แห่งคำรับสารภาพในชั้นสอบสวนเป็นเหตุบรรเทาโทษ กลับแสดงว่าเป็นการรับสารภาพเพราะจำนนต่อหลักฐาน แม้พยานโจทก์บางส่วนเป็นพยานบอกเล่า แต่เมื่อมีความน่าเชื่อถือมีเหตุผลน่ารับฟัง เมื่อนำมาพิจารณาประกอบกับพยานหลักฐานอื่นของโจทก์จึงเชื่อว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง
ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยทั้งปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย จึงพร้อมกันพิพากษายืน ตามศาลชั้นต้น.
...