“เดอะไก่”-พล.ต.ต.รณชัย จินดามุข จาก ส.1 มาเป็นผู้บังคับการประจำ บช.น.หอบหลักฐานแจ้งเอาผิด “หลวงเจ๊” อดีตเจ้าอาวาสในคลิปฉาวนัวเนียหนุ่ม ยักยอกเงินกฐินนับล้าน อ้างใช้รับรองคณะที่มาทอดกฐิน 7 แสน
เมื่อวันที่ 2 ต.ค.62 ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้ากรณีตำรวจบุกจับพระครูวิเชียรปัญญาภรณ์ หรือนายปมิตร มีบุญมา อายุ 54 ปี เจ้าอาวาสวัดจอมศรี ต.น้ำร้อน อ.เมืองเพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นพระในคลิป “หลวงเจ๊” นัวเนียพนักงานชายภายในร้าน จนมีการแชร์ไปอย่างแพร่หลาย ก่อนพาไปสึกจากความเป็นพระ เพื่อดำเนินคดีในข้อหากระทำอนาจารแก่บุคคลอายุกว่าสิบห้าปีโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย นำตัวไปฝากขังไว้ที่เรือนจำจังหวัดเพชรบูรณ์ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
มีรายงานว่า ก่อนหน้านี้ พระครูวิเชียรปัญญาภรณ์ หรือนายปมิตร มีบุญมา เจ้าอาวาสวัดจอมศรี ขณะที่ยังไม่เกิดเหตุการณ์ในคลิปฉาวดังกล่าว ได้มีการเตรียมจัดงานปิดทองฝังลูกนิมิต อุโบสถวัดจอมศรี ระหว่างวันที่ 29 ธันวาคม 2562- 5 มกราคม 2563 โดยมีมหรสพสมโภชอย่างมากมาย ทั้งนี้ในป้ายประชาสัมพันธ์การจัดงานที่ติดอยู่ด้านหน้าวัด ได้มีชื่อของ พล.ต.ต.รณชัย จินดามุข อดีตผู้บังคับการตำรวจสันติบาล 1 (ผบก.ส.1) พร้อมคณะ เป็นประธานอุปถัมภ์ตัดหวายลูกนิมิตลูกเอก และต่อมาเมื่อมีเหตุการณ์ข่าวฉาวของพระครูวิเชียรปัญญาภรณ์ เจ้าอาวาสวัดจอมศรี จนนำมาสู่การถูกจับสึกและดำเนินคดี พระลูกวัดท่านหนึ่งได้แจ้งว่า มีเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาลมาทำการตัดป้ายประชาสัมพันธ์การจัดงานปิดทองฝังลูกนิมิตในส่วนของที่เป็นรูปและข้อความ พล.ต.ต.รณชัย จินดามุข อดีตผู้บังคับการตำรวจสันติบาล 1 พร้อมคณะ เป็นประธานอุปถัมภ์ตัดหวายลูกนิมิตลูกเอก โดยแจ้งว่ายังไม่ได้มีการพูดคุยกันแต่อย่างใด
...
ต่อมาเวลา 13.00 น. (วันที่ 2 ต.ค.) พล.ต.ต.รณชัย จินดามุข ผู้บังคับการประจำกองบัญชาการตำรวจนครบาล (จาก ส.1 มาเป็นผู้บังคับการประจำ บช.น.) ได้นำเอกสาร หลักฐาน พร้อมรายละเอียดของอดีตเจ้าอาวาสวัดจอมศรี มามอบเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเพชรบูรณ์ ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัดเพชรบูรณ์ และสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบูรณ์ เพื่อเป็นหลักฐานดำเนินคดีกับอดีตเจ้าอาวาสรูปดังกล่าว ในข้อหายักยอกทรัพย์
โดย พล.ต.ต.รณชัย จินดามุข เปิดเผยว่า เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ได้มีผู้ใต้บังคับบัญชาถ่ายรูปป้ายประชาสัมพันธ์การจัดงานฝังลูกนิมิตวัดจอมศรี โดยที่มีตนเองเป็นเจ้าภาพ พร้อมส่งให้ตนเองดูว่าได้เป็นประธานจริงหรือไม่ ซึ่งตนก็ตอบว่า ยังไม่รู้เรื่องเลย และไม่เคยได้พูดคุยกับพระรูปดังกล่าวที่จะมาเป็นประธานในการจัดงานครั้งนี้
แต่ทั้งนี้ เมื่อปีที่ผ่านมาตนได้นำกฐินมาทอดที่วัดดังกล่าวจริง โดยได้เงินในครั้งนั้นประมาณ 1 ล้านกว่าบาท จากนั้นก็เดินทางกลับ และไม่ได้ติดต่อกับเจ้าอาวาสรูปดังกล่าวเลย กระทั่งทราบข่าวว่าพระรูปดังกล่าวก่อเหตุกอดและลูบเป้าเด็กผู้ชายตามที่เป็นข่าว ตนจึงให้ลูกน้องสืบประวัติกระทั่งทราบว่ามีพฤติกรรมต่างๆ มากมาย รวมทั้งการทอดกฐินเมื่อปีที่ผ่านมาได้เงินไปหนึ่งล้านกว่าบาทนั้น แทบไม่ได้มีการก่อสร้างศาลาธรรมสังเวชตามวัตถุประสงค์เลย
ซึ่งจากการสอบสวน หลังจากที่ได้ลาสิกขาไปแล้วทราบว่า อดีตเจ้าอาวาสอ้างกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า เงินที่ได้มาหนึ่งล้านกว่าบาทนั้นได้ใช้รับรองดูแลคณะที่มาทอดกฐินจำนวน 7 แสนบาท ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย เพราะคณะที่มาร่วมงานในวันนั้นล้วนแต่ดูแลตัวเองทั้งสิ้น
ส่วนเงินจำนวนที่เหลือนั้น อดีตเจ้าอาวาสอ้างว่านำไปเตรียมไว้เป็นค่าก่อสร้างภายภาคหน้า และขณะนี้ก็ไม่ทราบว่าเงินเหลือเท่าไหร่ โดยที่วัดดังกล่าวแทบไม่มีการพัฒนาเลย ตนจึงเห็นว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้องที่จะมีการนำเอาเงินที่คนเขานำมาทำบุญไปใช้ส่วนตัว หรืออย่างไรก็แล้วแต่ จึงได้นำหลักฐานมาให้เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรจังหวัด เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองเพชรบูรณ์ รวมทั้งสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดเพชรบูรณ์ แจ้งความดำเนินคดีกับอดีตเจ้าอาวาสดังกล่าว.