ตำรวจท่องเที่ยวบุกค้นโรงงานวิตามินปลอมย่านรามคำแหง รวบผู้ต้องหาชาวจีน-พม่า รวม 7 คน กำลังนั่งบรรจุเม็ดยาลงกระปุก มีอุปกรณ์ยิงบาร์โค้ด เครื่องติดสติกเกอร์เสร็จสรรพ

เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 24 พ.ค.62 พล.ต.ต.วรพงษ์ ทองไพบูลย์ ผบก.ทท.1 พร้อมกำลังตำรวจท่องเที่ยวเข้าตรวจค้นโรงงานบรรจุยาวิตามินปลอม ที่บ้านเลขที่ 75/28 หมู่บ้านเดอะ ไพรม์ ซ.รามคำแหง 21 แขวงหัวหมาก เขตบางกะปิ

ที่เกิดเหตุเป็นทาวน์โฮม 3 ชั้น ที่ชั้นล่างมีเครื่องบรรจุขวด อุปกรณ์ยิงบาร์โค้ด ที่ติดสติกเกอร์อีก 1 อัน พร้อมของกลางวิตามินยี่ห้อดังในประเทศจีน รวมกว่า 2,000 กระปุก มูลค่ากว่า 3 ล้านบาท จับกุมผู้ต้องหาชาวจีน 6 คน และชาวเมียนมา 1 คน

พล.ต.ต.วรพงษ์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับเรื่องร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวชาวจีน ว่า ได้ซื้อวิตามินยี่ห้อหนึ่งดังกล่าวมาจากร้านค้าแห่งหนึ่งย่านห้วยขวาง แต่เมื่อรับประทานเข้าไปกลับพบว่าไม่ใช่วิตามิน ตำรวจจึงได้สืบสวนติดตามกระทั่งพบเป้าหมายเป็นบ้านพักหลังดังกล่าว ก่อนนำกำลังเข้าตรวจสอบ พบกลุ่มผู้ต้องหาชาวจีนและพม่ารวมทั้งหมด 7 คน กำลังแบ่งหน้าที่บรรจุเม็ดยาลงกระปุก ยิงบาร์โค้ดและติดสติกเกอร์สินค้า จึงควบคุมตัวไว้

สอบสวนสอบถามทราบว่า ผู้ต้องหาได้เช่าบ้านหลังดังกล่าวในราคาเดือนละ 3.3 หมื่นบาท มานาน 8 เดือน ซึ่งเมื่อก่อนได้รับวิตามินยี่ห้อนี้ ซึ่งเป็นสินค้าของไทยมาขายเอง เพราะเป็นที่นิยมของชาวจีน ต่อมาได้สั่งซื้ออุปกรณ์ยิงบาร์โค้ดและเครื่องติดฉลากก่อนรับยาปลอมมาส่งขายเองยังร้านค้าตามแหล่งท่องเที่ยวที่มีชาวจีน ในราคากระปุกละ 1,200 บาท

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่า วิตามินของจริงจะลักษณะเป็นเม็ดวงรีสีส้ม ขณะที่ของปลอมเป็นสีขาว ขณะที่บรรจุภัณฑ์ที่ท้ายกระปุกจะไม่มีเลขวันผลิตและหมดอายุ รวมถึงความหนาบางของตัวหนังสือต่างกัน

...

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังพบหลักฐานเป็นเอกสารการจัดตั้งบริษัทห้างหุ้นส่วน ซึ่งอยู่ระหว่างขยายผลถึงผู้เกี่ยวข้องเพิ่มเติม

เบื้องต้นนำของกลางส่งตรวจห้องปฏิบัติการของทาง อย. ก่อนนำตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวน สน.หัวหมาก โดยเตรียมแจ้งข้อกล่าวหากับชาวจีนฐาน “ร่วมกันปลอมเครื่องหมายการค้า, เครื่องหมายบริการ, เครื่องหมายรับรอง หรือเครื่องหมายร่วมของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักรฯ และเป็นคนต่างด้าว ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน”

ส่วนชาวเมียนมา แจ้งข้อหา “เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้ามา และอยู่ในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต” ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป.