ตำรวจเร่งไล่ล่าตัวอดีตสามีเศรษฐินีเมืองสงขลา หลังพบหลบหนีไปในพื้นที่กระบี่และพังงา คาดไม่เกิน 1-2 วันได้ตัวแน่ ขณะที่ทีมข่าวไทยรัฐทีวีทดลองดูเส้นทางคนร้ายใช้เผานั่งยาง หากพิสูจน์ได้ชัดเจนว่าเป็นกระดูกของเศรษฐินีจริง
เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.61 ทีมข่าวไทยรัฐทีวีลงพื้นที่ติดตามความคืบหน้าคดีการหายตัวไปของนางสาวภิญญดา แป้นจันทร์ หรืออ้อย เศรษฐินีสาวจังหวัดสงขลา และต้องสงสัยว่าอาจจะถูกนำมาเผานั่งยางในพื้นที่บริเวณบ้านท่านางหอม อำเภอหาดใหญ่ โดยวันนี้ตำรวจยังคงเร่งสอบปากคำพยานที่เกี่ยวข้องจำนวนหลายปาก เพื่อหาความเชื่อมโยงของคดี
จากข้อมูลการสอบปากคำนางปวีณา ขุนทรงอักษร พี่สาวของอ้อย ให้การกับพนักงานสอบสวน สภ.คอหงส์ ว่าก่อนหน้านี้น้องสาวเคยนำแหวนเพชรให้ลองใส่ในงานศพญาติเมื่อประมาณ 1 เดือนก่อน แล้วคุยกันแบบทีเล่นทีจริงว่าจะขายให้ราคา 3 หมื่นบาท พอตัวเองใส่เสร็จก็ถอดคืนให้เพราะตกใจราคาสูง หลังจากนั้นก็ไม่ได้เจอกับอ้อยอีก จากนั้นก่อนน้องจะหายตัวไปมีการขายคอนโดให้กับญาติคนหนึ่งแต่วันจะโอนไม่สามารถติดต่ออ้อยได้ ลูกชายจึงไปแจ้งความไว้ที่ สภ.เมืองสงขลา หลังจากนั้นจึงเห็นข่าวในเฟซบุ๊กที่แชร์กันว่ามีชาวบ้านพบคนถูกเผานั่งยาง จึงไปบอกตำรวจ สภ.เมืองสงขลาให้พาไปดู พอพบเห็นแหวนและฟันปลอมที่ยังหลงเหลือในที่เกิดเหตุจึงจำได้ เพราะอ้อยเคยบอกกับพี่สาวว่าใส่ฟันปลอมไว้ที่ฟันซี่หน้าด้านบน ประกอบกับเมื่อวานตำรวจให้ลองใส่แหวนดังกล่าวดูก็สามารถสวมใส่ได้จริง โดยตำรวจเพิ่งนำหลักฐานทั้งหมด อาทิ แหวน ฟัน และกะโหลกศีรษะส่งให้ตำรวจพิสูจน์หลักฐานไปตรวจหาดีเอ็นเอเพื่อยืนยันบุคคลเมื่อช่วงเช้าของวันนี้ ที่นิติเวช โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ พร้อมพิจารณาในการสอบปากคำบุคคลอื่นเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้อง ก่อนจะสรุปสำนวนส่งให้กับ สภ.เมืองสงขลา เจ้าของสำนวนคดี ซึ่งหากผลการตรวจดีเอ็นเอพิสูจน์ได้ว่าเป็นอ้อย ก็สามารถออกหมายจับอดีตสามีได้ทันที
...
ทั้งนี้จากข้อมูลการสอบปากคำยังระบุอีกว่า ก่อนหน้านี้อ้อยมีปัญหากับอดีตสามีเรื่องความเจ้าชู้ และตัดสินใจเลิกรากัน แต่อดีตสามีไม่มีที่ไปและวนเวียนมาก่อกวนอยู่บ่อยครั้ง จนอ้อยให้อดีตสามีมาทำงานเป็นลูกจ้างที่ตัวเองเป็นผู้จัดการบริษัทขายเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ โดยมีหน้าที่ยกของส่งของตามที่ต่างๆ ก่อนจะมามีปัญหากันอย่างหนักเมื่อไม่นานมานี้ เพราะอ้อยรับรู้ความจริงว่าอดีตสามีไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับญาติที่เป็นลูกพี่ลูกน้องของอ้อยที่อยู่บ้านใกล้เคียงกัน จึงทำให้อ้อยโกรธมากและตัดสินใจไล่อดีตสามีออกและเร่ร่อนไปอยู่กับญาติพี่น้องของอ้อยในซอยบ้านเดิม
ทั้งนี้ หากการตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์พบว่าโครงกระดูกดังกล่าวเป็นของอ้อยจริง วันนี้ทีมข่าวไทยรัฐทีวี จึงทดลองดูเส้นทางที่คาดว่าคนร้ายจะพาร่างของอ้อยไปเผานั่งยางจากข้อมูลการสืบสวน โดยเริ่มจากบ้านพักของอ้อยภายในซอยรัตนาธิเบศร์ และออกสู่ถนนแสงกาญจนวนิช ก่อนจะยูเทิร์นรถเพื่อมุ่งหน้าสู่ห้าแยกเกาะยอ แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามถนนลพบุรีรามเมศวร์ มุ่งหน้าถนนเพชรเกษมประมาณ 10 กิโลเมตร จึงยูเทิร์นและเลี้ยวซ้ายเข้าสำนักงานจัดการน้ำเสีย สาขาหาดใหญ่ ก่อนจะไปพบกับคลองส่งน้ำที่ระบายไปยังทะเลสาบสงขลา โดยคนร้ายขับรถลัดเลาะคันคลองเข้าไปกว่า 300 เมตร ซึ่งระยะทางจากบ้านพักหากขับรถด้วยความเร็วปกติจะใช้เวลาเพียง 15 นาทีเท่านั้น ก่อนจะถึงจุดเผานั่งยาง ก่อนที่คนร้ายจะจอดรถอุ้มร่างของคนตายไปจุดเผาอีก 20 เมตร เเละนั่งรอจนไฟมอดก่อนจะลงมือทุบโครงกระดูกและกะโหลกอย่างละเอียดพร้อมโยนทิ้งกระจัดกระจายก่อนจะหลบหนีไป
สำหรับคดีนี้ตำรวจแบ่งหน้าที่กันคลี่คลายคดีออกเป็นหลายชุด โดย สภ.คอหงส์ รับผิดชอบในส่วนของคดีเผานั่งยาง สภ.เมืองสงขลา รับผิดชอบในส่วนของคดีแจ้งความคนหาย และกองกำกับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา รับผิดชอบในการติดตามตัวคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุและหลบหนีไป โดยข้อมูลจากการสืบสวนพบว่า คนร้ายขับรถยนต์เบนซ์ของอ้อยโดยใช้เส้นทาง หาดใหญ่ มุ่งหน้าสู่พัทลุง ตรัง กระบี่และพังงา โดยขณะนี้คนร้ายหลบหนีอยู่ระหว่าง 2 จังหวัดคือกระบี่ และพังงา
นอกจากนี้ยังมีรายงานข่าวอีกว่า คนร้ายไม่ได้ใช้โทรศัพท์มือถือและไม่ได้ติดต่อกับญาติคนไหน และคาดว่าน่าจะทิ้งรถเบนซ์ของอ้อยไว้ในสถานที่ใดที่หนึ่ง หรืออาจจะเปลี่ยนป้ายทะเบียนเพื่อตบตา เพราะตำรวจล็อกเป้าหมายไว้เรียบร้อยแล้ว โดยตำรวจสืบสวนภูธรจังหวัด และตำรวจกองกำกับการ 6 กองบังคับการปราบปราม กำลังอยู่ในระหว่างเร่งติดตามตัวคนก่อเหตุมาดำเนินคดี.