ศาลนางรอง ยกฟ้องกลุ่มเกษตรกรจังหวัดบุรีรัมย์ ถูกบริษัทผลิตปุ๋ยฟ้องให้ชำระหนี้เรียกค่าเสียหายกว่า 40 ล้านบาท โฆษกยธ.ชี้เป็นไปตามโครงการส่งเสริมอาชีพของคนบุรีรัมย์ ปี 2558 ของ อบจ.บุรีรัมย์

เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 13 มี.ค.61 ศาลจังหวัดนางรอง พิพากษายกฟ้องกรณีกลุ่มเกษตรกรจังหวัดบุรีรัมย์ถูกบริษัทผลิตปุ๋ยฟ้องให้ชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายจากการเข้าร่วมโครงการส่งเสริมอาชีพของคนบุรีรัมย์ปี 2558 โดยมีนายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรมและโฆษกกระทรวงยุติธรรม พ.ต.ท.วิชัย สุวรรณประเสริฐ ผอ.กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายเกษม รังสุวรรณ รองเลขาธิการสภาทนายความ และหัวหน้าส่วนราชการในสังกัดกระทรวงยุติธรรมในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ พร้อมด้วยประชาชนมากกว่า 300 คนเข้าร่วมรับฟังคำพิพากษา

นายธวัชชัย กล่าวว่า สืบเนื่องจากกรณีที่กลุ่มเกษตรกรในพื้นที่อําเภอโนนสุวรรณ หนองหงส์ นางรอง หนองกี่ และปะคํา ถูกฟ้องร้องที่ศาลจังหวัดนางรอง จํานวน 88 คดี จําเลยรวม 222 คน ในข้อหาผิดสัญญาซื้อขายปุ๋ยอินทรีย์ จํานวน 100,945 กระสอบ มูลค่า 40,378,000 บาท โดยทุนทรัพย์ที่ฟ้อง 42,821,410.01 บาท ซึ่งเป็นไปตามโครงการส่งเสริมอาชีพของคนบุรีรัมย์ปี 2558 ของ อบจ.บุรีรัมย์ เป็นเจ้าของโครงการและเงินงบประมาณซึ่งสภา อบจ.บุรีรัมย์ โดยความเห็นชอบของ ผวจ. ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมจากรายได้ที่จัดเก็บจากประชาชนในพื้นที่ในแต่ละปี อันเป็นโครงการต่อเนื่องตามนโยบายการแก้ปัญหาความยากจนของนายก อบจ. บุรีรัมย์ โดยเริ่มโครงการตั้งแต่ปี 2555-2558

"ลักษณะโครงการประชาชนจะเขียนและเสนอโครงการตามรูปแบบเอกสารและการประชาสัมพันธ์จาก อบจ. บุรีรัมย์กําหนดโดยมีระบุราคาปุ๋ยอินทรีย์กระสอบละ 500 บาทในปี 2555-2557 ส่วนปี 2558 ระบุ กระสอบละ 400 บาทให้เกษตรกรเสนอโครงการ หากดูตามเอกสารที่เกี่ยวข้องดูเสมือนว่าเป็นความต้องการและดําเนินการจัดซื้อโดยเกษตรกรเองแต่พยานหลักฐาน 3 ปี ปี 2555-2557 ที่ สตง.ตรวจสอบเป็นการจัดซื้อโดยกลุ่มข้าราชการ และสมาชิก อบจ.บุรีรัมย์ ซึ่งไปจัดซื้อจากโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์จากอำเภอหนองบุญมาก จังหวัดนครราชสีมา และนํามาแจกจ่ายให้เกษตรกรในราคาเฉลี่ยกระสอบละเพียง 200 บาทแต่นํามาเบิกเงิน กระสอบละ 500 บาท ทั้ง 23 อําเภอ มีหลักฐานการมอบฉันทะให้เจ้าหน้าที่ อบจ.และลูกจ้างของสมาชิก อบจ.บุรีรัมย์ โดยที่เกษตรกรไม่ได้รับเงินไปเพื่อติดต่อตกลงซื้อขายให้ผู้จำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์รายใดเลย และยังพบมีหลักฐานการโอนเงินชําระหนี้จากเจ้าหน้าที่ อบจ.และสมาชิก อบจ.บุรีรัมย์รายเดียวกัน คนเดียวให้กับเจ้าของโรงงานผลิตปุ๋ยอินทรีย์ดังกล่าวระหว่างปี 2555-2557 จํานวนกว่า 91,252,350 บาท เป็นเหตุให้เข้าใจผิดว่าเป็นโครงการแจกปุ๋ยอินทรีย์ฟรีแบบให้เปล่ามาโดยตลอด" นายธวัชชัย กล่าว

...

รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เผยต่อว่า นอกจากนี้การดําเนินการโครงการ ปี 2558 ปีสุดท้ายก็เหมือนกับสามปีแรก อบจ.บุรีรัมย์ ให้เกษตรกรทำโครงการมีการกําหนดให้ระบุราคาปุ๋ยอินทรีย์กระสอบละ 400 บาท ในเอกสารโครงการเป็นล่วงหน้าทุกอำเภอ เกษตรกรไม่มีการติดต่อโดยตรงกับผู้จำหน่าย เจ้าหน้าที่ อบจ.และสมาชิก อบจ.บุรีรัมย์รายเดิมมีการไปติดต่อซื้อขายปุ๋ยอินทรีย์จากผู้ประกอบการรายอื่นรวม 4 รายให้เข้ามาร่วมโครงการและส่งปุ๋ยแต่มี 2 รายที่ทำเอกสารใบสั่งซื้อมาให้กลุ่มเกษตรกรลงนามที่พื้นที่อําเภอพลับพลาชัย โนนสุวรรณ หนองหงส์ นางรอง หนองกี่และปะคํา โดยเกษตรกรไม่เคยติดต่อกับผู้จําหน่ายปุ๋ยมาก่อนเลย ไม่ได้มีอํานาจการตัดสินใจใดๆ และเข้าใจว่าเป็นไปตามรูปแบบเดิมที่รับปุ๋ยฟรีมาโดยตลอด ปี 2558 กระทั่งมีการส่งมอบปุ๋ย และในระหว่างที่ สตง.ทักท้วงให้ระงับยับยั้งโครงการ แต่ อบจ.บุรีรัมย์ ยืนยันเดินหน้า ต่อมา ผวจ.ไม่อนุมัติโครงการและงบประมาณ ผู้จําหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ไม่ได้รับชําระหนี้ จึงไปร้องเรียนต่อ คสช.และต่อมา เกษตรกร 5 อำเภอหลังถูกฟ้องที่ ศาลจังหวัดนางรอง

"กลุ่มเกษตรกรมาร้องขอความช่วยเหลือด้านทนายความกระทรวงยุติธรรม ซึ่งได้ประสานสภาทนายความให้ส่งทนายความจากส่วนกลางลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือ โดยกระทรวงยุติธรรมได้มอบศูนย์ลูกหนี้ฯ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ร่วมแสวงหาพยานหลักฐานในการต่อสู้คดี ศาลนัดสืบพยานและทําการสืบพยานคู่ความทั้งสองฝ่ายแล้วเสร็จเมื่อ 29 ธันวาคม 2560 โดยกําหนดประเด็นข้อพิพาท 5 ประเด็น และมีคำพิพากษาในวันนี้โดยสรุปว่า โจทก์กับจําเลยทั้งหมดไม่มีนิติสัมพันธ์กัน เป็นการดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐ จึงพิพากษายกฟ้อง ส่วนความเสียหายที่เกิดขึ้นโจทก์ต้องไปฟ้องร้องเรียกความเสียหายจากผู้ที่เกี่ยวข้องกันเองต่อไป" นายธวัชชัย เผย