พี่น้องตระกูล “แสงหยกตระการ” พร้อมทนาย ดอดพบตำรวจ รับเพียง 1 ใน 3 ข้อหา “ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์” พร้อมแจ้งความกลับ เจ้าของตลาด และทางเขตประเวศ มาตรา 397 กระทำการข่มเหง คุกคามเดือดร้อนรำคาญใจ

จากกรณี น.ส.รัตนฉัตร แสงหยกตระการ อายุ 61 ปี และ น.ส.ราณี แสงหยกตระการ อายุ 57 ปี 2 พี่น้องที่ก่อเหตุทุบรถกระบะของน.ส.รชนิกร เลิศวาสนา อายุ 37 ปี ซึ่งมาจอดขวางหน้าบ้านตนเอง ภายในซอยศรีนครินทร์ 55 แยก 2 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กทม. โดยทางพนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกครั้งที่ 2 เพื่อให้คุณป้าทั้ง 2 เข้ารับทราบข้อกล่าวหา ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 5 มี.ค.61 น.ส.บุญศรี แสงหยกตระการ อายุ 65 ปี น.ส.รัตนฉัตร แสงหยกตระการ อายุ 61 ปี น.ส.ราณี แสงหยกตระการ อายุ 57 ปี และนายอนันต์ชัย ไชยเดช ทนายความ ได้เดินทางเข้าพบ พ.ต.อ.อลงกรณ์ ศิริสงคราม ผกก.สน.ประเวศ เพื่อรับทราบข้อกล่าวหา โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งข้อหาไว้ 3 ข้อหา คือ ร่วมกันทำให้เสียทรัพย์, พกพาอาวุธเข้าไปในเมือง หมู่บ้าน โดยไม่ได้รับอนุญาตและข่มขู่ทำให้ผู้อื่นตกใจกลัว

...

นายอนันต์ชัย กล่าวว่า ในวันนี้ได้พาทางคุณป้าทั้ง 2 คนคือ น.ส.ราณี และ น.ส.รัตนฉัตร เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ส่วน น.ส.บุญศรี ไม่เกี่ยวข้อง เป็นเพียงผู้บีบแตรอยู่ในรถ ซึ่งในส่วนของข้อกล่าวหาทั้ง 3 ข้อ ในส่วนของข้อกล่าวหาเรื่องทำให้เสียทรัพย์ ก็ปรากฏอยู่ในคลิป ไม่ได้ปฏิเสธ แต่เนื่องจากป้ามีปัญหากับทางเขตมา 10 กว่าปี ซึ่งศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครอง ห้ามตลาดกระทำการรบกวนป้า ดังนั้นการจอดรถขวางทางเข้าออกถือเป็นการละเมิดอำนาจศาล การที่ป้าใช้สิทธิ์ในการปกป้องก็มีความผิด ส่วนในข้อหาพกพาอาวุธเข้าไปในเมือง ในทางกฎหมาย มาตรา 1(5) ได้ระบุว่าอาวุธที่ไม่ได้เป็นอาวุธโดยสภาพ อย่างเช่น เสียม พลั่ว ถ้าไม่ได้นำไปใช้ประทุษร้ายร่างกายจนถึงแก่สาหัสแล้ว สิ่งนั้นไม่ถือเป็นอาวุธ จึงขาดองค์ประกอบความผิด อย่างไรก็ตามทางคุณป้าทั้ง 2 คนได้มีการทำทุกทาง ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่เขต เจ้าหน้าที่ตำรวจ ขอให้เคลื่อนย้ายรถออก แต่กลับไม่มีการตอบรับใด ถือเป็นการกระทำข่มเหงป้าอย่างร้ายแรง ซึ่งเรื่องดังกล่าวทางป้าอาจจะมีการแจ้งความดำเนินคดีกลับด้วย

นายอนันต์ชัย กล่าวต่อว่า ส่วนในข้อกล่าวหาที่ 3 เรื่องข่มขู่ทำให้ผู้อื่นตกใจกลัวนั้น ในข้อดังกล่าวก็ไม่เข้าฐานความผิด จะเห็นได้ว่าภายหลังจากที่ซื้อของเสร็จ เจ้าของรถได้เดินกลับมาที่รถ พร้อมทั้งเก็บของ และยังยืนยิ้ม ก่อนที่จะเดินไปซื้อของต่อ ขวานที่นำมาก็ไม่ได้ข่มขู่แต่อย่างใด เจ้าของรถก็ไม่ได้เกรงกลัวแต่อย่างใด ดังนั้นในส่วนของข้อกล่าวหาเรื่องพกพาอาวุธและข่มขู่จึงไม่เข้าข่ายฐานความผิด ส่วนจะมีการแจ้งความกลับฐานแจ้งความเกินกว่าเหตุรึไม่นั้น ขึ้นอยู่กับทางป้าทั้ง 2 คนจะพิจารณาอีกทีภายใน 7 วัน สำหรับในเรื่องของตลาดนั้น ขณะนี้ทางสำนักงานเขตประเวศได้มีการออกหนังสือเชิญชวนมาขออนุญาตให้ถูกต้อง ซึ่งในความจริงแล้วไม่มีทางทำได้ เพราะที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินจัดสรร ตามประกาศคำสั่งคณะปฏิวัติที่ 286 ซึ่งถ้ายังมีการดึงดันที่จะเปิดตลาด ก็จะรื้อคดีทั้งหมด ตั้งไม่ได้อย่างดันทุรังตั้ง

ด้าน น.ส.รัตนฉัตร กล่าวว่า อยากเรียนให้พ่อค้าแม่ค้าทราบว่า ต้นเหตุของปัญหานั้นมาจากกรุงเทพมหานคร และสำนักงานเขตประเวศ ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งจะต้องแก้ไขสถานการณ์ให้กับพ่อค้าและแม่ค้าไปทำมาหากินจุดที่ถูกต้อง และคืนความสงบสุขให้กับหมู่บ้านของเรา นอกจากนี้ยังมีศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ ที่มีพื้นที่อยู่ 18 ไร่ และพร้อมที่จะทำให้เป็นตลาดที่ถูกต้อง ถ้าพ่อค้าแม่ค้าไม่มีที่ทำกินก็ต้องไปติดต่อกับทางศูนย์การค้าดังกล่าว ซึ่งเป็นพื้นที่ถูกต้องอยู่และอยากเรียนบอกกับคนที่ว่าตัวเองเดือดร้อนคุณไปทำกินที่ถูกต้อง ก็จะไม่เดือดร้อนตลอดไป ซึ่งยืนยันว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องเพราะเราต้องรักษาสิทธิอันชอบธรรมของเรา ตามใบอนุญาตที่บอกว่าพื้นที่นี้เป็นบ้านเดี่ยว 289 แปลง ไม่มีอาคารพาณิชย์เพื่อที่อยู่อาศัย ถึงแม้ว่าจะมีการบอกยกให้แต่ก็ต้องรักษาให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการจัดสรรที่อยู่อาศัย ไม่ใช่เอาไปทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าถูก

น.ส.รัตนฉัตร กล่าวต่อว่า ชีวิตตอนนี้ถามว่ากลับสู่ปกติเหมือนเดิมหรือไม่นั้น ขอตอบว่ายัง เพราะโครงสร้างของตลาดยังมีอยู่ อาจเป็นเหตุส่วนหนึ่งที่ชักจูงให้ไปขอใบอนุญาตต่อ ซึ่งสิ่งที่กระทำอยู่นั้นไม่ถูกต้องตามกฎหมาย หากยังฝ่าฝืน ดึงดัน กระทำผิดกฎหมาย ซึ่งก็จะต้องดำเนินการแจ้งในข้อหาละเว้นปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ทั้งนี้ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาในกรณีใกล้เคียงแบบนี้มาแล้ว เป็นอันชอบธรรมที่จะได้รับ เนื่องจากหาเงินมาซื้อที่ปลูกบ้านอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งจะต้องได้สิทธิตามบทกฎหมายเช่นเดียวกัน

...

“เวลานี้พวกตนได้กำลังใจจากประชาชนที่ได้ทราบข้อเท็จจริง ซึ่งไม่ต้องการให้ใครมาละเมิด โดยเจ้าหน้าที่ต้องใช้อำนาจไปในทางที่ถูกต้อง หากชักจูงประชาชนไปทำผิดกฎหมายต่อ ถือว่าเป็นการทำผิดกฎหมาย ส่วนคู่กรณีถ้าจะมาประนีประนอมยอมความนั้น อยู่ที่ทนาย เพราะการที่จะทำอะไร อยู่ที่จิตสำนึก ซึ่งคนเราต้องมีตั้งแต่ได้ใบรับอนุญาตขับรถอยู่แล้ว ส่วนจะอโหสิให้หรือไม่นั้น ต้องให้เจ้าตัวมาที่สถานีตำรวจก่อน ส่วนเรื่องบ้านที่ติดประกาศเนื่องจากพวกตนเดือดร้อนไปร้องทุกข์ต่อท่าน แต่ท่านไม่ดำเนินการ เราจึงต้องติดประกาศไว้ให้เพื่อทราบ” น.ส.รัตนฉัตร กล่าว

น.ส.รัตนฉัตร กล่าวต่ออีกว่า การที่ตนหยิบขวานและเสียมออกไปนั้น ซึ่งบอกแล้วว่าเราไม่ได้มีเจตนาไปกระทำร้ายร่างกาย แต่ต้องการความชอบธรรมที่คุณมาปิดกั้นทางเข้าออกของเรา จึงต้องหาวิธีการออกไป ผู้ที่จะต้องรับผิดชอบตรงนี้คือ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้อำนวยการเขตประเวศ เพราะบ้านที่พวกตนอาศัยอยู่ภายใต้การคุ้มครองของศาล และวันนี้ที่มาที่นี่ ก็ต้องการให้ประชาชนร่วมมือกัน มีบิ๊กคลีนนิ่ง กทม. เพื่อให้ประชาชนได้รับความสงบสุขต่อไป

...

หลังจากนั้นทางเจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัว น.ส.รัตนฉัตร และ น.ส.ราณี คนรับทราบข้อกล่าวหา สอบปากคำและพิมพ์มือ อย่างไรก็ตามได้แจ้งความกลับทางเจ้าของตลาดและทางสำนักงานเขตประเวศในข้อหากระทำการข่มเหง คุกคามเดือดร้อนรำคาญใจอีกด้วย ตามมาตรา 397 เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป.