"เปรี้ยว-เอิร์น-แจ้" กังวลชัดเจน ขึ้นศาลสืบพยานฝ่ายโจทก์นัดแรกคดีฆ่า "น้องแอ๋ม" ขณะที่ "เบนซ์" ให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา ครึ่งวันสอบพยานไปแล้ว 2 ปาก คาดวันนี้เสร็จเพียง 4 ปาก
เมื่อเวลา 12.30 น. วันที่ 20 ก.พ.2561 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าภายหลังจากที่ศาล จ.ขอนแก่น ได้นัดสืบพยานฝ่ายโจทก์ โดยมีอัยการจังหวัดขอนแก่นเป็นโจทก์ และฝ่ายจำเลย ประกอบด้วย น.ส.ปรียานุช โนนวังชัย หรือเปรี้ยว พร้อมพวก ในข้อกล่าวหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ตามคดีหมายเลขดำที่ อ.1957/60 ที่ห้องพิจารณาคดี 8 ชั้น 3 ศาล จ.ขอนแก่น
โดยมีพยานฝ่ายโจทก์รวม 37 คน และทีมทนาย ส่วนฝ่ายจำเลย นำโดยทีมทนายความ ครอบครัวของผู้ต้องหา และผู้ต้องหาทั้งหมดในคดีดังกล่าว ประกอบด้วย น.ส.ปรียานุช โนนวังชัย หรือ เปรี้ยว, น.ส.กวิตา ราชดา หรือ เอิร์น, น.ส.อภิวันทน์ สัตยบัณฑิต หรือแจ้, น.ส.จิดารัตน์ พรมคุณ หรือ เบนซ์ และ นายวศิน นามพรม เข้าร่วมรับการสอบปากคำให้การวันนี้อย่างพร้อมเพรียง
โดยศาลมีคำสั่งห้ามไม่ให้สื่อมวลชนหรือผู้ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าร่วมรับฟังหรือสังเกตการณ์ในห้องพิจารณาดีแต่อย่างใด พร้อมจัดกำลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและตำรวจศาล ประจำอยู่หน้าห้องพิจารณาคดี
โดยในช่วงเช้าฝ่ายโจทก์โดยพนักงานอัยการ ได้เบิกพยานรวม 2 ปากประกอบด้วย พ.ต.ท.วงศกร วันชัย สว.สส.สภ.เมืองขอนแก่น ให้การในเรื่องของที่มาในมูลเหตุของการก่อเหตุฆาตกรรม น.ส.วริศรา หรือ น้องแอ๋ม และ พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย ผกก. สภ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น จากการพบศพจนนำไปสู่การจับกุม โดยมีทนายความฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยซักค้านอยู่ตลอดเวลา

...
นายนพดล ทนายความของครอบครัว น.ส.วริศรา ผู้เสียชีวิต กล่าวว่า ในช่วงเช้าการสืบพยานฝ่ายโจทก์ผ่านไปแล้ว 2 ปาก จากที่กำหนดไว้รวม 37 ปาก โดยอัยการจังหวัดขอนแก่น ได้ส่ง 2 พนักงานอัยการที่ถือเป็นบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญในด้านคดี มาร่วมสืบพยาน เพื่อให้การดำเนินงานในคดีความดังกล่าวซึ่งเป็นคดีสำคัญ สะเทือนขวัญ เป็นไปอย่างรัดกุม รอบคอบ และละเอียดในทุกขั้นตอน
ซึ่งการสืบพยานฝ่ายโจทก์ปากแรกนั้นเป็นเรื่องของมูลเหตุของการก่อเหตุ เนื่องจาก พ.ต.ท.วงศกร นั้น อยู่ในชุดจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติด และมีการขยายผลตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดที่ 100/2 จนสาวมาถึงตัว เปรี้ยว สามีเปรี้ยว และพี่ชายเปรี้ยว ซึ่งเป็นมูลเหตุของการเกิดเหตุฆาตกรรมครั้งนี้
ขณะที่พยานโจทก์ปากที่ 2 คือ พ.ต.อ.ภาคภูมิ นั้นให้การไปได้เพียง 1 ชั่วโมง ซึ่งพยานรายนี้สำคัญมาก เพราะเป็นต้นเรื่องที่เริ่มจากการพบศพ จนนำไปสู่การจับกุม โดยพนักงานอัยการและทนายฝ่ายโจทก์ตั้งเวลาในการให้การไว้ที่ 4 ชม.
“ในช่วงก่อนการเริ่มการสืบพยานนั้น จำเลยที่ 3 คือ น.ส.จิดารัตน์ พรมคุณ หรือเบนซ์ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาในคดีรับของโจร และขณะนี้อยู่ในช่วงของการประกันตัว ตามสิทธิ์ของกองทุนยุติธรรม ได้ให้การรับสารภาพตลอดทุกข้อกล่าวหา ซึ่งฝ่ายโจทก์ไม่ได้คัดค้านในประเด็นนี้ ซึ่งศาลท่านได้รับฟังและบันทึกคำให้การไว้แล้ว แต่ยังคงต้องมาขึ้นศาลและมารายงานตัวในคดีนี้ทุกนัด เนื่องจากฝ่ายโจทก์ยังคงไม่ตัดประเด็นในข้อหาร่มกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน
ซึ่งหากแนวทางการสอบคำให้การสาวไปถึงเบนซ์ พนักงานอัยการ ก็จะแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มทันที และเบนซ์ ยังคงอยู่ร่วมขบวนการกับผู้ต้องหาทั้งหมดในคดีนี้ ในคดีแพ่ง เพราะฝ่ายโจทก์ คือครอบครัวของน้องแอ๋มนั้น ได้เรียกร้องค่าเสียหายรวม 10,300,000 บาท แยกเป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูครอบครัวจากการเสียชีวิตของน้องแอ๋ม 10,000,000 บาท และค่าปลงศพ-ค่าทำศพ รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการจัดงานศพของน้องแอ๋ม อีก 300,000 บาท ซึ่งคดีแพ่งนั้น ศาลขอนแก่น ได้รับคำร้องและอยู่ร่วมในขั้นตอนของการพิจารณาไต่สวนในคดีนี้เช่นกัน
ขณะที่ช่วงของการสอบคำให้การต่อหน้าคณะผู้พิพากษานั้นผู้ต้องหาทั้งหมด โดยเฉพาะเปรี้ยว ซึ่งเป็นผู้ต้องหารายสำคัญของคดีนี้มีท่าทีที่วิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด ทั้งนี้ แม้ขณะนี้ผู้ต้องหาทั้งหมดจะยังคงให้การปฏิเสธ แต่พยานหลักฐานต่างๆ นั้นชัดเจนและครบถ้วนโดยทั้งหมด” นายนพดล กล่าว
นายนภดล กล่าวต่ออีกว่า ในช่วงบ่ายนอกจากการสอบคำให้การของ พ.ต.อ.ภาคภูมิ แล้ว ยังคงมีการเบิกพยานเพิ่มอีก 2 ปาก คือผู้ให้เช่ารถยนต์คันที่ใช้ในการก่อเหตุและนางสายรุ้ง กลิ่นจุ้ย มารดาของน้องแอ๋ม ที่จะให้การวันนี้เช่นกัน ทั้งนี้ พยานที่ฝ่ายโจทก์ได้ขอเบิกให้การต่อศาล ตามเวลาที่ศาลกำหนดนั้นรวม 37 ปากในจำนวนนี้ เป็นพยานสำคัญมากถึง 15 ปาก โดยฝ่ายโจทก์ขอเบิกพยานขึ้นให้การทั้งหมดเพื่อความรัดกุมและความรอบคอบทางคดี ที่จะเอาผิดกับผู้ต้องหาทั้งหมดให้ได้
อย่างไรก็ตาม แม้ขณะนี้ น.ส.เปรี้ยว, น.ส.เอิร์น และ น.ส.แจ้ จะถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำกลางขอนแก่น และนายวศิน นามพรม จะถูกคุมขังอยู่ที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษขอนแก่น และมีสิทธิ์ที่จะขอยื่นประกัน โดยที่ฝ่ายโจทก์ ยังคงยืนยันในการคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาทั้งหมดต่อไป จนกว่าคดีจะสิ้นสุด เนื่องจากเป็นคดีร้ายแรง และได้รับความสนใจจากสังคม อีกทั้งครอบครัวของผู้ตาย ยังคงหวาดกลัวจากการกระทำของผู้ต้องหาอย่างมาก.