ยกให้เป็น  3 คดีดัง ที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมกลโกงระดับประเทศ เมื่อเหล่ามิจฉาชีพระดับปรมาจารย์ พร้อมใจกันก่อคดีสร้างเรื่องเท็จ ตลอดปี 2560 ทุกคดีล้วนแล้วแต่สร้างความ 'ตะลึง ฉงน งง-งวย'...คนๆ เดียวทำให้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร? ...และเหตุใดถึงเต้าเรื่องหลอกเหยื่อจนเชื่อสนิทแนบเนียน ไม่มีระแคะระคายสงสัย จวบจนบานปลายมูลค่าความเสียหายโผล่...เรื่องราวทั้งหมดกลายเป็น 3 ตำนานกลโกง ให้เหล่านักสืบมือฉมังต้องจดจำไว้เป็นกรณีศึกษา เพื่อปรับใช้ในกรณีต่อๆ ไป

"ซินแสโชกุน ลอยแพผู้โดยสารนับพัน กลโกง ผลกำไร - ความโลภ"

"ทอม โชกุน" หรือ ซินแสโชกุน หรือชื่อจริงคือ น.ส.พสิษฐ์ อริญชย์ลาภิศ กรรมการบริหาร บริษัท เวลท์ เอเวอร์ ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฉ้อโกงประชาชน กลโกงเปิดบริษัทเทียบเคียงกับธุรกิจขายตรง ที่ผ่านมาลูกข่ายมีพฤติกรรมโปรโมตธุรกิจอัดคลิปตัวเองลงสื่อโซเชียล สร้างเรื่องเท็จเชื่อมเครือข่ายสารพัดสิ่ง ป่าวประกาศความน่าเชื่อถือของตัวเองผ่านโซเชียลมีเดีย สร้างแผนการตลาดเพื่อชักชวนคนเข้าร่วมในธุรกิจหลอกลวง ล่อด้วยโปรโมชั่นดึงดูดใจ หากทำได้ตามเป้า จะพาไปท่องเที่ยวต่างประเทศฟรี จากนั้นสมาชิกจะไปเชิญคนอื่นๆ มาสมัครเข้าเครือข่ายเพิ่ม โชกุน ทอมลวงโลก

...

พ.ต.ต.กันต์กวี อดุลยาศักดิ์ สว.กก. 1 บก.ป. เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาใช้กระบวนการสร้างความน่าเชื่อถือ โดยแสดงตัวอย่างให้เห็น จากคนกลุ่มน้อย ทำให้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าเมื่อเข้าร่วมธุรกิจใหญ่โตมั่นคง ยอมสมัครเป็นสมาชิกแล้วจะได้ไปเที่ยวญี่ปุ่น ฮ่องกง พร้อมเผยแพร่ภาพ เช่าเครื่องบินเจ็ตเหมาลำไปเชียงราย สร้างภาพธุรกิจรุ่งเรือง ทำให้เหยื่อที่มาพบเห็นหลงเชื่อว่า ซินแซโชกุน สามารถนำไปต่างประเทศได้จริงเพียงแค่เป็นสมาชิกทำธุรกิจ ปั่นให้เหยื่อนับพันหลงเชื่อ ถือเป็นคดีที่มีคนตกเป็นเหยื่อมากสุดคดีหนึ่ง 

"โชกุนใช้ความโลภ และเงินเป็นตัวหลอกล่อ ให้เหยื่อเข้ามาติดกับดัก จนเกิดมูลค่าความเสียหายสูง วงเงินกว่า 135 ล้านบาท กระทั่งเมื่อวันที่ 11 เมษายน ผู้โดยสาร ลูกค้าของโชกุน นับพันรายถูกลอยแพ ณ สนามบินสุวรรณภูมิ การสืบสาวราวเรื่องทั้งหมดจึงเริ่มขึ้น และถูกจับกุมในที่สุด ส่วนสาเหตุที่ทำให้คนหลงเชื่อเนื่องมาจากตัวของเหยื่อเองล้วนไม่ได้ถูกข่มขู่บังคับให้เชื่อ แต่เชื่อเพราะคำพูดโน้มน้าวจูงใจ รวมไปถึงผลประโยชน์ที่วาดฝันว่าตัวเองจะได้รับ จึงตกเป็นเหยื่อกลโกง"  

**ปูมหลังชีวิตทอมโชกุน พ่อแม่แยกทางกันตั้งแต่ยังเด็ก ต่อมาแม่ของโชกุนได้ไปแต่งงานใหม่ โชกุนจึงมาอาศัยอยู่กับป้า ก่อนหน้าที่จะถูกจับกุมย้อนไปเมื่อปี 2557 พบมีผู้เสียหายร้องเรียนและเผยแพร่ข้อมูลในโลกโซเชียล ให้ข้อมูลพฤติกรรมการลวงเงิน แม้จะเคยรวมตัวกันไปแจ้งความแล้ว แต่คดีไม่คืบหน้า จวบจนล่าสุด ปี 2560 โชกุน ได้ทำธุรกิจในลักษณะเดียวกัน แต่มีความน่าเชื่อถือมากกว่าจึงประสบความสำเร็จโด่งดังมีเหยื่อหลงกลมากมาย บานปลายลอยแพลูกทัวร์นับพัน จนท้ายสุดหนีไม่รอดน้ำมือกฎหมาย 

พ.ต.ต.กันต์กวี อดุลยาศักดิ์ สว.1 บก.ป.
พ.ต.ต.กันต์กวี อดุลยาศักดิ์ สว.1 บก.ป.

"น้ำมนต์ เจ้าสาว 13 ครั้ง กลโกงความรัก ลวงสินสอด"  

เหตุการณ์ลวงรักในโลกโซเชียล ที่ประสบความสำเร็จในรอบหลายปีที่ผ่านมาคงต้องยกให้ น.ส.จริยาภรณ์ บัวใหญ่ หรือ น้ำมนต์ หรือ พร อายุ 33 ปี อดีตเจ้าหน้าที่พัสดุ เทศบาลตำบลนาแห้ว จ.เลย หญิงสาวหน้าตาธรรมดาที่มัดใจชายหนุ่มได้ในเวลาใกล้เคียงกันถึง 13 ราย สร้างเฟซบุ๊กตั้งชื่อใหม่ หลอกคุยกับผู้ชายด้วยเทคนิคป้อนคำหวาน พูดจามีหลักการคิดถึงอนาคต ตบท้ายชวนแต่งงานเรียกสินสอดครั้งละ 1 แสน - 2 แสน ตามแต่น้ำมนต์จะพึงพอใจ เพียงข้ามคืนเดียว เชิดสินสอดหนีหาย....ปูดปมบานปลายเมื่อพบว่าผู้ชายที่ตกเป็นเหยื่อมีมากกว่า 10 ราย ตกลงปลงใจยอมแต่งงาน โดนหลอกให้ทำพฤติกรรมในลักษณะเดียวกัน 

พ.ต.ท.เผด็จ งามละม่อม รอง ผกก.1 บก.ป. เปิดเผยว่า คดีดังกล่าวผู้ต้องหา สร้างความน่าเชื่อถือด้วยคำพูด หลอกให้ผู้ชายที่คุยด้วยไว้วางใจว่าทุกอย่างเกิดจากความรักความจริงใจ สร้างเรื่องเป็นไปในทางชู้สาวโดยที่เหยื่อไม่ฉงนสงสัยว่าตัวเองกำลังถูกหลอกให้รักเพื่อนำมาสู่การลวงเอาเงินค่าสินสอด ภายหลังเจอหน้าผู้เสียหายครั้งแรก เขาอยู่ในท่าทีที่ตกใจ ทางตำรวจพูดกล่อมจนยอมมอบตัวสู้คดี 

...

"น้ำมนต์ บอกกับทางตำรวจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไม่ได้ตั้งใจหลอกลวง มันเป็นเรื่องราวของความรัก ที่ตัวเขามีให้ผู้ชายหลายๆ คนเหมือนกัน ซึ่งทุกคนต่างก็ได้ใช้เวลาในการคบหาดูใจมาระยะหนึ่ง จนได้ตกลงปลงใจแต่งงานมีสินสอด แต่กับบางรายก็ไม่ได้แต่ง ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นสิทธิ์ของเขาที่จะแก้ต่างให้ตัวเอง เราก็ว่ากันตามกระบวนการต่อไป" 

**สำหรับคดีน้ำมนต์ จากการสืบสาวประวัติทราบว่า ได้ถูกไล่ออกจากราชการเมื่อปี 2555 เนื่องจากอ้างว่าสามารถฝากคนเข้าทำงานที่เทศบาล โดยเรียกรับเงินผู้เสียหายรายละ 100,000 – 130,000 บาท ก่อนถูกออกหมายจับในข้อหาฉ้อโกง ก่อนเปลี่ยนชื่อนามสกุลแล้วหลบหนี จนมาพบอีกทีว่า ได้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ น.ส.สร้อยเพชร พารีวัลย์ พูดคุยกับเหยื่อที่เป็นผู้ชายเพื่อตีสนิทและสร้างความสัมพันธ์ ก่อนจะล่อลวงให้เหยื่อแต่งงานด้วย เคยถูกผู้เสียหายรวมตัวกันจับพาไปโรงพักแล้วครั้งหนึ่ง แต่ใช้กลวิธีหลบหนีออกมาได้ 

พ.ต.ท.เผด็จ งามละม่อม รอง ผกก.1 บก.ป.
พ.ต.ท.เผด็จ งามละม่อม รอง ผกก.1 บก.ป.

...


"2 ผัวเมีย ประมูลทองผ่านเฟซบุ๊ก สูญกว่า 100 ล้าน กลโกงความเชื่อ จากคนรู้จัก สู่คนใกล้ตัว"

พฤติกรรมหลอกขายทองคำ ราคาถูกกว่าท้องตลาด หรือพฤติกรรมการให้ผ่อนทอง ยาวมาจนล่าสุด ภายหลังมีผู้เสียหายกว่า 200 ราย เข้าให้ข้อมูลตำรวจถึงการเปิดประมูลทองผ่านเฟชบุ๊ก พบตัวการใหญ่คือ 2 สามีภรรยา นายพฤฒิพงศ์ ณ นคร อายุ 37 ปี และ น.ส.วรรณรัตน์ โพธิ์พันธ์ทูล อายุ 29 ปี ผู้ต้องหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน พฤติการเปิดเพจเฟซบุ๊กประมูลทองคำ โพสต์ข้อความเชิญชวนเหยื่อนำเงินลงทุนประมูลทองคำผ่านทางเพจ ภายใต้เงื่อนไข ผู้ที่ชนะการประมูล จะต้องโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของผู้ต้องหาทั้งสองรายทันทีที่สิ้นสุดประมูล เมื่อเหยื่อโอนให้แล้ว กลับไม่ได้รับทองคำตามที่กล่าวอ้าง มูลค่าความเสียหายกว่า 100 ล้าน 

พ.ต.อ.นิรันดร์ ปิตะกาศ ผกก.3 บก.ป. กล่าวว่า 2 ผัวเมียคู่นี้ สร้างเรื่องขึ้นมาหลอกโดยเฉพาะ ตั้งใจโกงแบบไม่เกี่ยวกับธุรกิจล้มเหลว หรือโกงเพราะจำใจโกง กลุ่มเป้าหมายที่ถูกหลอกจะเป็นคนที่ชอบของถูก ประมูลทองมาเก็งราคาเก็บไว้ เพราะเชื่อว่าภายหลังจ่ายเงินแล้วจะได้ทองมาจริงตามโฆษณา รวมไปถึงคนรอบข้างเคยได้รับมาก่อนแล้วบอกต่อๆ กัน เพราะเหยื่อเชื่อในสิ่งที่เห็น เชื่อคำพูดใกล้ตัวจึงแห่ตามกันไปร่วมประมูลสูญเงินกว่า 200 ล้าน  มิจฉาชีพ 2 ผัวเมีย ก่อเหตุมากว่า 2 ปี มีผู้เสียหายมากกว่า 200 ราย ประวัติความเป็นมา หรืออาชีพก่อนหน้าของคู่สามีภรรยาไม่ปรากฏ ทั้ง 2 สารภาพ สร้างเรื่องทั้งหมดขึ้น เพราะตั้งใจลวงเงินเหยื่อ

...

"อยากจะฝากเตือนผู้ที่สุ่มเสี่ยงตกเป็นเหยื่อ อย่าหลงเชื่ออะไรง่ายๆ ของดี ของฟรีของแพงไม่มีในโลก ภาพทั้งหมดที่ถูกประโคมข่าวลงโฆษณา หรือเชื่อในคำยืนยันของคนรอบข้าง มันไม่ใช่ข้อเท็จจริงเสมอไป หากพลาดหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อ ผลลัพธ์ที่ตามมานอกจากจะเสียเงินทองมหาศาลแล้ว ยังเสียความรู้สึกที่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพเหล่านี้อีกด้วย เบื้องต้นจากการตรวจสอบพบว่า 2 สามีภรรยา มีบัญชีธนาคารทั้งหมด 3 บัญชี มีเงินหมุนเวียนในระบบหลายร้อยล้านบาท และเชื่อว่าน่าจะมีผู้ร่วมขบวนการอีก ซึ่งเจ้าหน้าที่จะขยายผลติดตามตัวมาดำเนินคดีโดยเร็ว ส่วนผู้ต้องหาทั้งสองรายนี้จะถูกคุมขังไว้ที่ บก.ป. ก่อนเพื่อรอตรวจสอบประวัติคดีอาชญากรรมอื่นๆ"

**วิธีหลอกล่อของผู้ต้องหา 2 ผัวเมีย สร้างเฟชบุ๊กขึ้นมาเพื่อจงใจหลอกลวง 2 บัญชี จากนั้นได้มีการโชว์ทองรูปพรรณหลายรูปแบบ โฆษณาชวนเชื่อชักนำเหยื่อเข้ากลุ่ม ต่อมาได้จัดให้มีการประมูลทอง เหยื่อคนที่ประมูลราคาสูงสุดต้องโอนทันทีหลังการประมูลเสร็จสิ้น โดยไม่มีการส่งทองให้ตามคำกล่าวอ้าง จากการตรวจสอบยังพบอีกว่า 2 สามีภรรยา มีความรู้ ความสามารถด้านไอที เล่นอินเตอร์เน็ตได้ ใช้วาจาหลอกล่อจูงใจให้คนเชื่อ น่าจะเคยก่อเหตุเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง และไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง ยากต่อการติดตาม

Police Community

พ.ต.อ.นิรันดร์ ปิตะกาศ ผกก.3 บก.ป.
พ.ต.อ.นิรันดร์ ปิตะกาศ ผกก.3 บก.ป.