คสช.ส่งทหารฝ่ายกฎหมาย นำตัวอดีตสิบเอกอุ้มฆ่า”น้องพลอย”ส่งมอบให้ ตร.โดยมี “ศรีวราห์” นำทีมรับตัว ก่อนตั้ง 4 ข้อหาหนัก ทั้งนี้ผู้ต้องหารับสารภาพได้ฆ่าจริง เพราะโกรธแค้นที่ถูกตีตัวออกห่างจนบีบคอจนตาย ก่อนเข้าบ้านพักนำยางรถยนต์ นำ้มันเบนซินไปเผานั่งยาง บริเวณริมถนนสายแก่งคอย-แสลงพัน...

เมื่อเวลา 15.30 น. พล.ต.วิจารณ์ จดแตง หัวหน้าส่วนปฏิบัติการคณะทำงานด้านกฎหมาย คสช. พร้อมด้วย พ.อ.บุรินทร์ ทองประไพ เสนาธิการประจำผู้บังคับบัญชาฝ่ายกฎหมาย คสช. พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ทหาร ควบคุมตัว นายพลกฤต หรืออดีต ส.อ.พลกฤต วิเศษ อายุ 29 ปี ส่งมอบให้กับ พล.ต.อ.ศรีวราห์ พล.ต.ต.สมบัติ มิลินทจินดา รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผบก.ส.4 พร้อมคณะ ก่อนเข้าสู่กระบวนการตรวจร่างกาย โดยแพทย์จาก รพ.ตำรวจ พิมพ์ลายนิ้วมือ และถ่ายรูปทำประวัติตามขั้นตอน ก่อนแจ้งข้อกล่าวหาเพื่อดำเนินคดีที่ ห้องประชุมชิวปรีชา บก.ป. ทั้งนี้

สำหรับ นายพลกฤต ได้ถูกแจ้งข้อกล่าวหาตามหมายจับศาลมณฑลทหารบกจังหวัดสระบุรี ที่ จ.80/2557 ลงวันที่ 7 กรกฎาคม 2557 ข้อหาพาผู้อื่นไปเพื่ออนาจารโดยใช้อุบายหลอกลวง ขู่เข็ญ ใช้กำลังประทุษร้าย และหมายจับศาลมณฑลทหารบกที่ 18 ที่ จ.1 ก/2560 ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2560 ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ลักทรัพย์ในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะ ทำให้เสียทรัพย์ ลอบฝัง ซ่อนเร้น ย้ายหรือทำลายศพ หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของศพ เพื่อปิดบังการตายหรือเหตุแห่งการตาย และเคลื่อนย้ายทำลายศพหรือส่วนหนึ่งของศพ จากนั้นพนักงานสอบสวนได้ควบคุมตัว นายพลกฤต ไปยังห้องชี้ตัวผู้ต้องหา เพื่อให้ นางพัชรี มารดาของ น.ส.พลอยนรินทร์ ได้ชี้ตัว โดย นายพลกฤต ยืนปะปนกับตำรวจ บก.ป.อีก 5 คน รวม 6 คน และมีเลข 1-6 กำหนดไว้ ซึ่งนางพัชรี สามารถชี้ตัว นายพลกฤต ได้อย่างถูกต้องทั้ง 3 ครั้ง อย่างไรก็ดี ภายหลังเสร็จสิ้นขั้นตอนดังกล่าวแล้ว จึงคุมตัว นายพลกฤต เดินทางไปยัง สภ.แก่งคอย จ.สระบุรี รับไปควบคุมตัวไว้ จากนั้นในวันพรุ่งนี้จะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.หินซ้อน มารับตัวไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพต่อไป

...

พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า จากการสอบสวนเบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยข้อหาหลักคือ ข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน รวมทั้งหมด 4 ข้อหา โดยอ้างว่าลงมือก่อเหตุเพียงคนเดียว และไม่ได้ใช้อาวุธ แต่หากมีผู้ใดเกี่ยวข้องก็ยืนยันว่าจะดำเนินคดีทั้งหมด ส่วนสาเหตุที่ลงมือขอไม่เปิดเผยเพราะอยู่ในสำนวนการสอบสวน สำหรับกรณีที่มีการระบุว่าบิดาของผู้ต้องหา ซึ่งเป็นนายทหารยศ พ.อ.มีส่วนเกี่ยวข้องกับการให้ความช่วยเหลือผู้ต้องหาระหว่างหลบหนีคดีตลอด 3 ปีนั้น คงไม่มีเรื่องอิทธิพล หรือส่งผลต่อการดำเนินคดีแต่อย่างใด โดยเฉพาะในยุค คสช.คงทำไม่ได้

พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ตนได้ซักถามคำให้การของผู้ต้องหาในเบื้องต้นเท่านั้น หลังจากนี้ทางพนักงานสอบสวนจะได้สอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้ง โดยเฉพาะในรายละเอียดประเด็นต่างๆ ส่วนสาเหตุที่เพิ่งมีการจับกุมผู้ต้องหาได้หลังจากญาติผู้เสียชีวิตแจ้งความร้องทุกข์ไว้นานถึง 3 ปีแล้วนั้น เป็นเพราะผู้ต้องหาย้ายถิ่นที่อยู่อาศัยตลอดเวลา จึงยากต่อการติดตามจับกุม อย่างไรก็ดี ในเรื่องของการสืบสวนจับกุมบางครั้งก็แล้วแต่จังหวะและโอกาสด้วย รอง ผบ.ตร.กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีที่นางพัชรี มารดาผู้เสียชีวิต ได้เข้าให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับบิดาและภรรยาของผู้ต้องหารายนี้ คอยให้ความช่วยเหลือมาโดยตลอด ว่าตนได้กำชับผู้ใต้บังคับบัญชาไปแล้วว่าหากพบว่าใครมีส่วนเกี่ยวข้องในการให้ความช่วยเหลือผู้ต้องหาก็ต้องถูกพิจารณาดำเนินคดีทั้งหมด ไม่มียกเว้น ส่วนกรณีการเปิดเผยข้อมูลว่ามีการพาตัว น.ส.พลอยนรินทร์ ไปยังสถานที่ราชการแห่งหนึ่งนั้น ตนยังไม่ทราบแต่ผู้ต้องหาอ้างว่าก่อเหตุฆ่าและเผาศพผู้เสียชีวิตภายในวันเดียว

“สาเหตุที่ผู้ต้องหายอมมอบตัวก็เพราะถูกเจ้าหน้าที่กดดัน เพราะมีการปิดล้อมพื้นที่ไว้หมดแล้ว จะหลบหนีอย่างไรก็ต้องถูกจับกุมดำเนินคดี สำหรับปมเหตุการณ์สังหารนั้นยังไม่สามารถชี้ชัดได้คงต้องรอการสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้งของพนักงานสอบสวนก่อน เพราะเพิ่งรับโอนสำนวนคดี และที่ได้ซักถามเบื้องต้นจะเป็นตามข้อหาที่ขออำนาจศาลออกหมายจับไว้เท่านั้น ซึ่งทางผู้ต้องหาก็รับสารภาพทุกข้อหา” พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าว

พล.ต.อ.ศรีวราห์ กล่าวว่า คดีนี้ยืนยันว่าจะดำเนินการโดยเร็วที่สุด และพร้อมให้ความเป็นธรรมทางคดี ที่ผ่านมาก็ถือว่าไม่ได้ล่าช้า และจะต้องรายงานผู้บังคับบัญชาทุกระยะอยู่แล้ว ส่วนทางญาติของ น.ส.พลอยนรินทร์ ตนก็ได้สอบถามแล้วว่ายังมีความต้องการอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่

รายงานข่าวแจ้งว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหารับสารภาพว่าได้ก่อเหตุฆ่าน้องพลอยจริง โดยสาเหตุเกิดจากโกรธแค้นที่ถูกตีตัวออกห่าง หลังจากทราบว่า นายพลกฤต ผู้ต้องหามีครอบครัวอยู่แล้ว จึงขับรถยนต์ไปรับ น้องพลอย ที่หน้าโรงงานใน จ.พระนครศรีอยุธยา จากนั้นก็เรียกผู้เสียชีวิตขึ้นรถเพื่อมาเจรจา พร้อมทั้งนำรถของผู้เสียชีวิตขึ้นรถไปด้วย ซึ่งระหว่างทางได้เกิดมีปากเสียงกันจึงลงมือบีบคอน้องพลอย แต่พลั้งมือจนทำให้ น้องพลอย เสียชีวิต ก่อนจะขับรถเข้าบ้านพักของบิดา ซึ่งเป็นอดีตทหารยศ พ.อ.ในค่ายทหารปืนใหญ่ จ.ลพบุรี เพื่อไปเอายางรถยนต์ 4 เส้น น้ำมันเบนซิน 1 ถัง นำศพไปเผานั่งยาง บริเวณริมถนนสายแก่งคอย-แสลงพัน หมู่ 2 ต.ท่าคล้อ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี เนื่องจากเคยมาฝึกซ้อมรบบริเวณนี้ และภายหลังเกิดเหตุก็เกรงกลัวความผิด จึงหลบหนีไปตามสถานที่ต่างๆ โดยขาดราชการเกิน 15 วัน จึงถูกต้นสังกัดไล่ออกจากราชการ กระทั่งมาถูกจับกุมตัวในที่สุด.