เหตุที่ตายสืบเนื่องมาจากถูกของแข็งไม่มีคมกระแทกตับแตก เลือดออกในช่องท้อง ร่วมกับการขาดอากาศหายใจจากการผูกคอ ทำให้ตาย ยังไม่ทราบว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำ ระหว่างอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติตามหน้าที่”

นี่คือส่วนหนี่งจากคำพิพากษาศาลอาญา เมื่อวันที่ 4 ส.ค. 60 คดี นายธวัชชัย อนุกูล อดีตเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน จ.พังงา ผู้ต้องหาออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินทับซ้อนอุทยานแห่งชาติกว่าพันแปลง ที่เสียชีวิตภายในห้องควบคุมกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 59 (อ่านฉบับเต็มคลิกได้ที่นี่)

ทั้งนี้ จากคำพิพากษาของศาลอาญา ทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ จะขอสรุปประเด็นสำคัญตามลำดับดังนี้

1. พิจารณาสภาพศพผู้ตายตามเอกสาร มีสภาพเป็นรอยแดงผ่านลูกกระเดือก

พ.ต.อ.นพ.อนุราช จิตศิลป์ ผู้ตรวจพิสูจน์สถานที่เกิดเหตุ กล่าวว่า ร่องรอยดังกล่าวจะพบในกรณีที่ผู้ตายถูกผู้อื่นกระทำ ส่วนใหญ่ผู้ที่ผูกคอตายจะพบรอยแดง บริเวณเหนือลูกกระเดือกรัดใต้คาง พาดผ่านไปทางหลังใบหูทั้งสองข้าง

...

นอกจากนี้ นพ.พรชัย สุธีรคุณ ผู้ตรวจชันสูตรพลิกศพ เบิกความว่า พบบาดแผลช้ำบริเวณท้อง 3 แห่ง บาดแผลเกิดก่อนเวลาที่ผู้เสียชีวิตจะถึงแก่ความตาย เกิดจากของแข็งไม่มีคมกระแทก และพบกล่องกระดูกเสียงหักทั้งสองข้าง จากการกดรัดบริเวณคอด้านหน้าตำแหน่งลูกกระเดือก นอกจากนี้ ยังพบบาดแผลกดรัดบริเวณคอ บาดแผลเฉียงขึ้นไปทางด้านหลัง น่าจะเกิดจากมีวัตถุรัดคอผู้ตายในระยะเวลาเพียงเล็กน้อย ซึ่งถุงเท้าของกลางไม่น่าสามารถทำให้เกิดรอยรัดได้ 

2. กระดูกซี่โครงด้านขวาและซ้ายหัก

จากการตรวจศพ ทราบว่าเกิดก่อนที่ผู้ตายจะถึงแก่ความตาย และอาจเป็นไปได้ว่าเกิดขึ้นและเข้ากับการปั๊มหัวใจในการกู้ชีพผู้ตาย

3. ตับฉีกขาดมาก และมีเลือดออกในช่องท้องประมาณ 1,000 ซีซี

จากการตรวจสอบด้วยกล้องจุลทรรศน์ทแสดงว่าอาการตับแตกเกิดขึ้นก่อนเวลา 01.00 น. และการที่ตับแตกแบบรุนแรง สามารถสันนิษฐานได้ว่า ผู้ตายน่าจะไม่มีแรงกระทำอย่างอื่นต่อไปได้

หลังจากศาลตัดสิน คำถามที่เกิดขึ้นทันทีคือ “ใครเป็นคนทำให้ตาย...”

ซึ่งหลังฟังคำพิพากษาของศาล นายชัยณรงค์ อนุกูล น้องชายนายธวัชชัย เปิดเผยว่า ศาลได้มีคำสั่งแล้วว่า ผู้ตายคือ นายธวัชชัย ซึ่งเสียชีวิตเพราะมีบุคคลอื่นทำให้ตาย ดังนั้นจึงไม่ใช่การฆ่าตัวตาย โดยตนกำลังหารือกับทนายความที่จะติดตามการดำเนินการพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง ต่อไป ถึงการหาตัวผู้ที่ทำให้พี่ชายเสียชีวิต ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทำรายงานสรุปการเสียชีวิตไว้ และศาลก็รับฟังว่ามีบุคคลอื่นทำให้ตาย

นอกจากนี้ นายชัยณรงค์ พร้อมด้วยทนายความ มาร่วมรายการ “ถามตรงๆ กับจอมขวัญ” ทางไทยรัฐทีวี ตอนหนึ่งว่า “ผมให้โอกาสดีเอสไอโดยตลอด นับตั้งแต่นำศพไปผ่าพิสูจน์ ดังนั้น ขณะนี้ ดีเอสไอควรพิสูจน์ตัวเองให้ได้ว่ามีศักยภาพแค่ไหน ที่จะแก้ปมคาใจตรงนี้ได้” นี่คือข้อคำถามค้างคาใจของน้องชาย

ย้อนคดีทุจริตที่ดินหมื่นล้านของธวัชชัย หลัง ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด

ที่ผ่านมา นายธวัชชัย ถูกทาง ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด ในการออกโฉนดที่ดินมิชอบจำนวนมากในพื้นที่ภาคใต้ โดยเฉพาะในจังหวัดภูเก็ต พังงา และ สุราษฎร์ธานี ซึ่งต่อมาถูกชี้มูลว่ามีความผิด ซึ่งจากการคาดการณ์เบื้องต้นการทุจริตของนายธวัชชัย นั้นมีมูลค่านับหมื่นล้านบาท เพราะแค่ที่ดิน บริเวณเขาหน้ายักษ์ พื้นที่ทับซ้อนพื้นที่อุทยานแห่งชาติหาดท้ายเหมือง-เขาลำปี จำนวน 500 ไร่ ราคาประเมิน ของกรมที่ดินไร่ละ 21 ล้านบาท มูลค่าทั้งสิ้น 10,500 ล้านบาทแล้ว หากรวมที่อื่นคงมีมูลค่ามหาศาลกว่านี้ ด้วยเหตุนี้ นายธวัชชัย จึงถือเป็นผู้ต้องหารายสำคัญที่กำความลับมากมายในคดีทุจริต (อ่านข่าว พลิกปูมที่ดินหมื่นล้าน ปมดับปริศนา 'ธวัชชัย อนุกูล' ฆ่าตัวหรือฆาตกรรม!?)

...

ดีเอสไอ เคยแจกแจง ปมข้อสงสัยต่างๆ ที่สังคมคาใจ

วันที่ 9 ก.ย. 59 ที่ผ่านมา พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ พร้อมด้วยรองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ​ ได้ทำการแถลงเกี่ยวกับข้อสงสัยต่างๆ ของการเสียชีวิต ประกอบด้วย

1. กล้องวงจรปิด

พ.ต.อ.ไพสิฐ กล่าวว่า อาคารดีเอสไอมีกล้องวงจรปิดทั้งหมด 49 ตัว ติดตั้งตั้งแต่ปี 50 อยู่ในความรับผิดชอบของศูนย์สื่อสาร สำนักพัฒนาและสนับสนุนคดีพิเศษ การทำงานของกล้องวงจรปิด สามารถดูภาพสดแบบเรียลไทม์ และระบบบันทึกภาพดูย้อนหลัง ผ่านการบันทึกในเซิร์ฟเวอร์กลาง ทั้งนี้ พื้นที่ติดตั้งกล้องวงจรปิดในอาคาร ส่วนใหญ่จะติดตั้งบริเวณส่วนกลางอาคาร เช่น โถงทางเดินหน้าลิฟต์แต่ละชั้น และในห้องของเจ้าหน้าที่ ส่วนชั้นที่ 6 จะมีกล้องวงจรปิดที่หน้าโถงลิฟต์ และทางเดินตรงกลาง กับหน้าห้องควบคุมผู้ต้องขัง แต่ในห้องควบคุมผู้ต้องขังนั้นจะไม่มีกล้องวงจรปิด ตามมาตรฐานสากล

2. รายงานเบื้องต้น กับ รายงานข้อเท็จจริงไม่ตรงกัน

เจ้าหน้าที่รายงานเท็จไปยังโรงพยาบาลว่า นายธวัชชัย เป็นลมหมดสติ และยังแจ้งว่าใช้เสื้อมาผูกคอ ไม่ตรงกับความจริงว่าผู้ตายใช้ถุงเท้าผูกคอ ดีเอสไอได้ตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และสอบปากคำเจ้าหน้าที่ที่อยู่เวรยามในวันดังกล่าวแล้ว ส่วนผลการตรวจสอบไม่สามารถเปิดเผยได้ ใครกระทำผิด ดีเอสไอจะลงโทษทางวินัยตามขั้นตอน

...

3. หากว่าพบผู้กระทำผิด ยืนยันว่าไม่ปกป้องแน่นอน

ส่วนการแถลงข่าววันนี้ เพราะต้องการให้ความจริงชัดเจน ไม่มีความจำเป็นปกปิด แต่หากพบมีความผิด จะลงโทษทางวินัยและอาญาต่อไป เจ้าหน้าที่ดีเอสไอมีกว่า 1 พันคน ไม่จำเป็นต้องปกป้องคน 3-4 คน ที่กระทำผิด ดีเอสไอทำคดีมากมายหลายคดี ถ้าดีเอสไอไม่ชัดเจน เชื่อว่าสังคมมองตรงนี้อยู่