
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้บริหารระดับสูงและผู้บริหารแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้เข้าหารือกับรัฐบาล โดยมีนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะผู้รับผิดชอบงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาล กรณีจะขอให้คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบในการนำการบินไทยกลับเข้าสู่ความเป็นรัฐวิสาหกิจอีกครั้ง
ทั้งนี้ เพื่อให้กระทรวงการคลัง รวมทั้งหน่วยราชการอื่นๆให้ความช่วยเหลือการบินไทยในกรณีการขอเงินเพิ่มทุน หรือขอกู้เพื่อการเพิ่มทุนอีกเป็นวงเงิน 50,000 ล้านบาทได้โดยอัตโนมัติ เนื่องจากเกรงว่า แผนฟื้นฟูกิจการภายใต้กระบวนการของศาลล้มละลายกลาง ซึ่งจะต้องนำเสนอต่อศาลและบรรดาเจ้าหนี้ราว 13,000 รายในวันที่ 12 พ.ค.นี้ จะไม่ผ่านความเห็นชอบเป็นครั้งที่ 3 จะมีผลให้ต้องล้มละลาย หมดสภาพความเป็นสายการบินแห่งชาติในทันที
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ความหวั่นไหวดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อสถาบันการเงินเจ้าหนี้สองสามรายไม่เห็นด้วยในกรณีที่จะให้ธนาคารเจ้าหนี้ใส่เงินเพิ่มทุนให้การบินไทยอีก 25,000 ล้านบาท แม้จะมีความพยายามให้สัญญาว่า จะไม่มีการตัดหนี้สูญ โดยการบินไทยจะจ่ายหนี้ราว 30,000 ล้านบาทกลับคืนในระยะเวลาตามที่ได้ให้สัญญาไว้ก็ตาม
ส่วนวงเงินอีก 25,000 ล้านบาท จะได้จากการเพิ่มทุนภายหลังกระทรวงการคลังเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นการบินไทย เข้าสู่การเป็นรัฐวิสาหกิจอีกครั้ง โดยเงินเพิ่มทุนจำนวนดังกล่าวส่วนหนึ่งจะนำไปจ่ายชดเชยการปรับลดพนักงานตามแผน 6,000-7,000 คน เพื่อให้เหลือพนักงาน 13,000-15,000 คน โดยพนักงานที่ถูกปรับลดจำนวนลงจะได้รับค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงานใหม่คือรับเงินเดือน 300-400 วัน
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้การขายทรัพย์สินของการบินไทยที่ถูกกำหนดให้ต้องใช้เพื่อการดำเนินกิจการเท่านั้น กลับมีการจ่ายค่าชดเชยให้พนักงานบางกลุ่มเพิ่มขึ้นอีกคนละ 5 เดือน ในขณะที่แผนการปรับลดจำนวนพนักงานลง ไม่สอดรับกับความเป็นจริงกับความพยายามจะลดขนาดของกิจการลง
ยกตัวอย่าง สายการบินอื่นใช้บุคลากรเพื่อเก็บกวาดขยะ เติมน้ำมัน ทำความสะอาดห้องโดยสารใหม่ และอื่นๆ 120 คนต่อลำ แต่การบินไทยใช้พนักงานถึง 200 คน ทั้งที่สภาวการณ์เช่นนี้ ควรนำเสนอแผนปรับลดพนักงานประจำเครื่องต่อลำลงเหลือ 50-80 คนเท่านั้น แต่กลับไม่มีแผนในแผนการปรับโครงสร้างหนี้ ผู้บริหาร และผู้จัดทำแผน กลับแจ้งเจ้าหนี้ว่าแผนฟื้นฟูฉบับนี้เป็นแผนที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าหนี้ เพราะไม่มีการปรับลดตัดหนี้สูญของเจ้าหนี้แต่อย่างใด นอกจากนี้ขอตัดดอกเบี้ยทิ้ง และจะกลับมาใช้เงินต้นคืนเต็มตามที่กู้มาในระยะเวลาตั้งแต่ 3-6-10 และ 15 ปี
อย่างไรก็ตาม การไม่ปรับลดตัดหนี้สูญ ขณะที่ทุนติดลบ เนื่องจากมีหนี้สะสมสูงถึง 410,000 ล้านบาท มีทุนจดทะเบียนอยู่เพียง 30,000 ล้านบาท ในที่สุดจะทำให้การบินไทยอยู่ไม่รอด เพราะไม่ได้แก้ปัญหาที่ซุกอยู่ใต้พรมตามแผนปกติของการปรับโครงสร้างหนี้ ซึ่งโดยข้อเท็จจริง หนี้มูลค่าสูงของการบินไทยจะต้องจัดหนี้สูญถึง 80% จึงจะแก้ปัญหาต่างๆได้
นอกจากนี้ยังมีรายงานด้วยว่า เนื่องจากการบินไทยจะยังไม่ได้ขอเข้ากระบวนการล้มละลายภายใต้กฎหมาย Chapter 11 ของต่างประเทศ เครื่องบินที่วางแผนจะเปิดเส้นทางการบินในเร็วๆนี้ อาจถูกประเทศเจ้าของเครื่องบินยึดกลับคืนได้ สำหรับแผนการดึงกลับคืนเป็นรัฐวิสาหกิจของรัฐอีกครั้งนั้น คณะรัฐมนตรียังไม่ได้ให้ความเห็นชอบ หากแต่เป็นเพียงความเห็นที่จะให้มีการดำเนินการตามข้อเสนอของผู้บริหาร และผู้จัดทำแผนฟื้นฟูกิจการเท่านั้น.