ความเหลื่อมล้ำเกิดขึ้นอย่างชัดเจนมากขึ้น จากการแพร่ระบาดของโควิด เมื่อวัคซีนความหวังของคนทั้งโลกในการต่อสู้กับโควิด เป็นกระจกสะท้อนย้ำให้เห็นได้ชัดระหว่างคนรวยและจน ในการเข้าถึงวัคซีนได้ก่อน ยังไม่รวมถึงความได้เปรียบของผู้มีเงินทุนมากกว่า ย่อมมีโอกาสใช้จังหวะในห้วงวิกฤติตกยากของคนทั่วไป ปูทางทำธุรกิจเพื่อกอบโกยผลประโยชน์ได้มากกว่า

สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นจริงตามคำกล่าวของ "ผศ.ดร.สันติ ชัยศรีสวัสดิ์สุข" คณะพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้ระบุกับ "ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์" ว่า ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำมานานก่อน "โควิดระบาด" และเมื่อโควิดระบาดได้ทำให้เศรษฐกิจหยุดนิ่งจากมาตรการต่างๆ ของรัฐ ทำให้โครงสร้างทางเศรษฐกิจสะดุด ทำให้คนขาดรายได้ โดยไม่เลือกว่าเป็นคนกลุ่มไหน แต่ในประเด็นวัคซีนโควิดนั้น ไทยไม่ได้เป็นเจ้าของเทคโนโลยี แต่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีไปผลิตให้เขา และไทยหวังจะเรียนรู้เทคโนโลยี เริ่มจากวัคซีนของซิโนแวค 2 ล้านโดส และตามมาด้วยแอสตราเซเนกา 26 ล้านโดส ซึ่งไทยต้องจ่ายเงินให้เขาทั้งสิ้น และเมื่อไทยเพิ่มวัคซีนเป็นอีก 35 ล้านโดส จึงมีคำถามว่าจะจัดให้ใครก่อน แต่ของไทยได้ก้าวข้ามจะฉีดให้กับทุกคน หากเปิดให้มีการซื้อขายก่อนก็จะทำให้คนมีเงินเข้าถึงได้ก่อน

...

จากปัญหาการระบาดของโควิด พบว่าคนจนมีโอกาสรับเชื้อได้มากกว่า เพราะต้องเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ ซึ่งไม่แน่ชัดจะมีการประเมินอย่างไรในการฉีดวัคซีน แม้ไทยจะเริ่มจากกลุ่มเสี่ยงก่อน แต่หลังจากนั้นไม่มีความชัดเจน จึงมองว่าคนระดับล่างมีความเสี่ยงในการติดโควิดมากที่สุดจากการดำรงชีพ จึงไม่แน่ใจว่าจัดสรรวัคซีนกันอย่างไร ยกตัวอย่างการจะไปฉีดวัคซีนใน จ.ภูเก็ต เพื่อเปิดรับนักท่องเที่ยว ซึ่งเห็นชัดถึงความเหลื่อมล้ำ จึงถามอีกว่าคนจังหวัดอื่นจะเป็นอย่างไร และถามว่าจะจัดวัคซีนให้ใคร เพราะทุกคนมีความจำเป็นต้องไปทำงานกันทุกคน โดยประเมินว่าวัคซีนเบื้องต้น 28 ล้านโดสที่จะใช้ไปถึงสิ้นปีนี้ ครอบคลุมประชากรเพียง 18 ล้านคน และประชากรที่เหลือยังไม่ได้วัคซีน

นอกจากนี้คนที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากจนปานกลาง มาจนมากสุด แสดงให้เห็นว่ามีคนจนเพิ่มมากขึ้นแบบก้าวกระโดดจากข้อมูลของธนาคารโลก และเศรษฐกิจไทยจะไม่ฟื้นตัวเป็นวีเชฟแน่นอน เนื่องจากคนชั้นกลางจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไม่ได้ เพราะฉะนั้นรัฐต้องช่วยเหลือในการออกมาตรการต่างๆ ซึ่งความจริงแล้วเป็นเพียงมาตรการซื้อเวลา ยิ่งใช้เวลานานแค่ไหนก็ยิ่งเพิ่มความเหลื่อมล้ำ เพราะในที่สุดเงินก็ไหลไปหานายทุนมากกว่าอยู่แล้ว

"รัฐจะกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวเพียงแค่ในช่วงความไม่ปกติที่คนไม่ใช้จ่ายเท่านั้นหรือ ทั้งที่ก่อนหน้าจะเกิดโควิดคนก็ระมัดระวังการใช้จ่ายอยู่แล้ว จะทำให้ในอนาคตจะเกิดความเหลื่อมล้ำมากขึ้น กลายเป็นปัญหาระยะยาว มาช่วยซ้ำเติมกลุ่มคนให้ถูกถีบกลายเป็นคนจน เมื่อมาตรการของรัฐสิ้นสุดลง พวกเขาจะไม่เหลืออะไร จากหนี้ครัวเรือน 78 เปอร์เซ็นต์ เขยิบมาที่ 80 กว่าเปอร์เซ็นต์ เมื่อสิ้นเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา และกลางปีนี้น่าจะเพิ่มขึ้นอีก 80 เปอร์เซ็นต์แก่ๆ ของจีดีพี ส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลาง และคนจนที่ไปต่อไม่ได้ เมื่อคนถูกถีบให้เป็นคนจนโดยโควิด บังคับให้ใช้ดิจิทัล หากตามเทคโนโลยีไม่ทัน ก็จะตามไปไม่ได้ในที่สุด แต่กลุ่มนายทุน ไม่กระทบสามารถลงทุนไปซื้อกิจการต่างๆ ในต่างประเทศได้อยู่แล้ว"

จากการระบาดของโควิดได้ทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจเปลี่ยนไป หากปรับตัวกันไม่ทัน คิดว่าจะเกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำ และเมื่อผ่านไประยะหนึ่งหากพยุงกันไม่ได้ จึงเดาไม่ถูกจะเกิดวิกฤติอย่างไรระหว่างหนี้ท่วม หรือเงินเฟ้อ เพราะเศรษฐกิจขยับไม่ได้ และไม่สนใจคนระดับล่าง เพราะของมีราคาแพง จึงต้องไปซื้อของคุณภาพที่น้อยลง ดังนั้นจะต้องสร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจ หากเป็นคนทำงบประมาณจะไม่ทำให้ขาดดุล 2 แสนล้านบาท แต่ควรทำให้ขาดดุล 7 แสนล้านบาท เพราะรัฐบาลใช้จ่ายเอง แต่ขณะนี้กลับเอาเงินไปใส่มือประชาชน ซึ่งเท่าไรก็ไม่พอ จึงควรบังคับให้สร้างกิจกรรมทางเศรษฐกิจ เพราะการให้เงินประชาชน สุดท้ายแล้วก็ไปอยู่ที่นายทุนทั้งหมด

...

สรุปแล้วมาตรการเยียวยาโควิด ยิ่งนานยิ่งไม่ดี ซึ่งไม่ได้คัดค้านไม่ให้ช่วยเหลือ แต่ต้องรู้ว่าจะมีผลกระทบสืบเนื่อง ควรทำในรูปแบบของการจ้างงานแทน ซึ่งไม่ควรอ้างว่าติดกระบวนการของทางราชการ แต่ควรเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจเหมือนอย่างประเทศเยอรมนี เอาเงินให้ประชาชนในรูปแบบของกรีน เอ็นเนอร์ยี่ ซึ่งเน้นด้านสิ่งแวดล้อม สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ เพราะโควิดยังอยู่กับเราอีกนาน จะก่อให้เกิดผลกระทบทำให้คนจนในช่วง 10 ปีก่อน กลับมาที่เดิม เพราะมีคนว่างงานเพิ่มขึ้น และจะเกิดปัญหาสังคมตามมา ทั้งอาชญากรรมเพิ่ม คนฆ่าตัวตายมากขึ้นจากพิษเศรษฐกิจ.