การสึกหรอของยางหมายถึงการสูญเสียดอกยางอย่างค่อยเป็นค่อยไปเมื่อใช้งานไปเรื่อย ๆ ดอกยางซึ่งเป็นส่วนที่ยึดเกาะถนน และถูกออกแบบมาให้สึกหรอช้า แต่ปัจจัยต่าง ๆ สามารถเร่งการสึกหรอได้ เช่น พฤติกรรมการขับ สภาพถนน สภาพอากาศ อุณหภูมิ การบำรุงรักษายาง และปัญหาการตั้งศูนย์ล้อ
เมื่อใช้งานยางรถยนต์ไปสักระยะหนึ่ง ยางจะค่อยๆ เสื่อมสภาพไปทีละน้อย จนกระทั่งหมดอายุการใช้งาน นั่นหมายถึงการเปลี่ยนยางใหม่เพื่อความปลอดภัย ได้ทั้งสมรรถนะในการยึดเกาะและการเบรก จะรู้ได้ยังไงว่ายางเส้นนั้นกำลังเสื่อมสภาพถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนยางเส้นใหม่แล้ว
การสึกหรอของยางเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย รวมถึงแรงดันลมยางที่ไม่เหมาะสม ล้อที่ไม่ได้ศูนย์ การขับขี่อย่างรุนแรง การละเลยการสลับยาง และการบรรทุกน้ำหนักเกินพิกัด แรงดันลมยางต่ำเกินไปอาจทำให้ขอบยางสึกหรอ ในขณะที่แรงดันลมยางสูงเกินไปจะทำให้ดอกยางตรงกลางสึกหรอ
การสึกหรอของยางที่พบบ่อย คือ
การสึกหรออย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นเรื่องปกติเมื่อศูนย์ล้อและมุมต่างๆถูกต้อง ดอกยางจะสึกหรออย่างสม่ำเสมอทั่วทั้งยาง บ่งชี้ว่ายางได้รับการดูแลใส่ใจ เติมลมและตั้งศูนย์ล้ออย่างถูกต้อง
...
การสึกหรอตรงกลาง
เกิดขึ้นเมื่อส่วนกลางของดอกยางสึกหรอเร็วกว่าขอบ มักเกิดจากการเติมลมยางมากเกินไป ทำให้ยางโป่งตรงกลางและลดพื้นที่สัมผัสกับถนน
การสึกหรอที่ขอบ
หรือที่เรียกว่าการสึกหรอที่ไหล่ การสึกหรอประเภทนี้เกิดขึ้นเมื่อขอบของดอกยางสึกหรอเร็วกว่าส่วนกลาง มักเกิดจากการเติมลมยางน้อยเกินไป ทำให้ยางยุบตัวและขอบสัมผัสกับถนนมากขึ้น
การสึกหรอแบบเป็นแอ่ง
รูปแบบการสึกหรอที่ไม่สม่ำเสมอนี้ปรากฏเป็นจุดสูงและต่ำรอบๆ ยาง อาจเกิดจากปัญหาต่างๆ เช่น ล้อไม่ตรงแนว ยางไม่สมดุล หรือชิ้นส่วนช่วงล่างสึกหรอ
การสึกหรอแบบเป็นร่อง
เกิดขึ้นเมื่อร่องดอกยางพัฒนาเป็นรูปแบบฟันเลื่อย โดยปกติแล้วเป็นสัญญาณของการตั้งศูนย์ล้อที่ไม่ถูกต้องหรือชิ้นส่วนช่วงล่างสึกหรอ
การสังเกตยางหมดอายุให้ดูที่ร่องดอกยาง ยางที่มีร่องตื้น หรือมีดอกยางเหลือไม่มาก ถือเป็นการเพิ่มความเสี่ยงขณะขับขี่รถยนต์ มีโอกาสเสียการทรงตัว เบรกไม่อยู่ ลื่น ปัดจนอาจตกถนน ลองสังเกตดูบริเวณร่องจะมีสะพานยางเล็กๆ เชื่อมต่อระหว่างร่อง โดยจะมีเครื่องหมายที่ขอบยางบ่งบอกถึงตำแหน่งของสะพานยางเล็กๆ ซึ่งจะมีความสูงจากพื้นยางประมาณ 1.6 มิลลิเมตร หากตรวจพบว่าดอกยางสึกหรอไปจนถึงระดับของสะพานเชื่อมเล็กๆก็ไม่ควรฝืนใช้งานยางเส้นนั้นต่อไป ให้รีบเปลี่ยนยางชุดใหม่โดยเร็วก่อนที่จะออกเดินทางไกลในช่วงวันหยุดยาวส่งท้ายปี
ยางหลายรุ่นโดยเฉพาะบริสโตนนั้นโคตรทน โครงสร้างและสารปรุงแต่งทำให้แม้เนื้อยางจะหมดสภาพไปแล้ว แต่ดอกกลับสึกหรอน้อยมาก เจ้าของรถมักเข้าใจผิดคิดว่าดอกยางยังเยอะอยู่ น่าจะใช้งานได้ จริงๆแล้ว ถ้าเอาเล็บจิกลงไปแล้วแข็งกระด้างแสดงว่ายางตายหรือหมดสภาพการใช้งานแล้ว เนื้อยางที่หมดอายุ แม้จะมีดอกอยู่เต็มแต่ประสิทธิภาพในการยึดเกาะและการเบรกจะลดลงเนื่องจากเนื้อยางหมดสภาพไปตามอายุ
หากขับใช้งานบนเส้นทางปกติ ไม่ควรลากใช้ยางจนเกินระยะ 45,000 กิโลเมตร - 50,000 กิโลเมตร ยางรุ่นใหม่มักจะโฆษณาว่าเนื้อยางสูตรพิเศษ สามารถยืดอายุการใช้งานได้เพิ่มขึ้นอีก 20,000 กิโลเมตร อย่าลืมว่าสภาพอากาศที่ร้อนจัดและเส้นทางส่วนใหญ่ในประเทศไทยนั้นทำให้ยางสึกหรอโดยเจ้าของรถไม่รู้ตัว โดยเฉพาะการบรรทุกหนัก ขับเร็ว ลมยางไม่ได้มาตรฐาน หรือใช้เบรกอย่างรุนแรงบ่อยครั้ง
...
สไตล์การขับขี่ที่รุนแรง พวกสายมอเตอร์สปอร์ต สายซิ่ง เน้นเร็วแรง เช่น การเร่งความเร็วอย่างฉับพลันทันทีบ่อยครั้ง และการใช้เบรกหนักๆอย่างแรง อาจทำให้ยางสึกหรอเร็วขึ้น การขับขี่อย่างนุ่มนวล ใช้คันเร่งอย่างสม่ำเสมอ ไม่ขับแบบกระชากกระชั้น ทิ้งระยะปลอดภัย เพื่อไม่ต้องใช้เบรกมากเกินไป การขับในลักษณะดังกล่าวช่วยยืดอายุการใช้งานของยาง พฤติกรรมการขับที่ปรับเปลี่ยนจะช่วยยืดอายุการใช้งานของยางได้อย่างมาก
สภาพอากาศของประเทศไทย มีผลกระทบอย่างมากต่ออายุการใช้งานของยาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยางเปลี่ยนจากฤดูร้อนที่ร้อนจัดไปเป็นฤดูหนาว อุณหภูมิสูงในตอนกลางวัน อาจทำให้ยางอ่อนตัวลง ซึ่งทำให้สึกหรอเร็วขึ้น
การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิภายนอกอย่างฉับพลัน ส่งผลต่อแรงดันลมยาง ตรวจสอบแรงดันลมยาง หาก tire pressure monitoring system แจ้งว่ามียางลมอ่อน ให้รีบหาตรวจสอบ หาที่เติมลมและรีเซ็ตค่าใหม่ทันที เติมลมยางให้ได้ระดับ PSI ที่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์แจ้งใว้ที่เสากลาง หรือในคู่มือประจำรถ ค่า PSI โดยทั่วไปจะระบุไว้บนสติกเกอร์ด้านในประตูฝั่งคนขับ
...
หากเห็นรอยแตก บวม รอยฉีกขาดที่แก้มยางหรือดอกยาง นั่นหมายความว่าถึงเวลาเปลี่ยนยางใหม่แล้ว ความเสียหายดังกล่าวของยางเส้นนั้น ทำให้โครงสร้างของยางอ่อนแอลง อาจทำให้ยางระเบิดได้
การสึกหรอที่ไม่สม่ำเสมอ
รูปแบบการสึกหรอที่ไม่สม่ำเสมออย่างเห็นได้ชัดบ่งชี้ถึงปัญหาการตั้งศูนย์ล้อ ระบบช่วงล่าง หรือแรงดันลมยางที่ต้องได้รับการแก้ไข ทางที่ดีที่สุดคือเปลี่ยนยางและแก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุเพื่อป้องกันการสึกหรอเพิ่มเติม
อายุของยาง ควรเปลี่ยนทุกๆ 6 ปี ยางจะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา และยางเก่า เนื้อยางหมดอายุ หรือยางตาย มีความเปราะและมีแนวโน้มที่จะเกิดความเสียหาย.
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358
...