แนะวิธีฟื้นฟูรถยนต์ หลังน้ำท่วม ย้ำ "ห้ามสตาร์ทเครื่องยนต์เด็ดขาด" ส่วนรถอีวี ห้ามสตาร์ทรถเช่นกัน ควรนำไปศูนย์ซ่อมให้เร็วที่สุด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากเหตุการณ์น้ำท่วมภาคใต้ในหลายจังหวัด เบื้องต้นมีการประเมินว่า รถยนต์ที่ถูกน้ำท่วม หรือ จมน้ำในหลายๆ ระดับไล่ตั้งแต่ระดับล้อยางจนถึงมิดหลังคารถนั้น คาดว่าจะมีมากกว่า 1,000 คัน ซึ่งหากน้ำลดระดับแล้ว ประชาชนที่ต้องเข้าไปดูทรัพย์สิน โดยเฉพาะรถยนต์ สิ่งที่ไม่ควรทำก็คือการสตาร์ทรถยนต์

โดยทีมข่าวไทยรัฐออนไลน์ ได้รวบรวมวิธีการจัดการรถยนต์หลังถูกน้ำท่วมไว้ดังนี้

รถยนต์ถูกน้ำท่วมควรทำอย่างไร  

หลังน้ำท่วมรถยนต์ ห้ามสตาร์ทรถเด็ดขาด เพราะการพยายามสตาร์ทเครื่องยนต์ น้ำอาจเข้าสู่ระบบไฟฟ้า ทำให้ลัดวงจรได้ เครื่องยนต์เสียหายหนักขึ้น

สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า หรือรถ EV ที่ถูกน้ำท่วมนั้น ห้ามสตาร์ตรถเด็ดขาด และเรียกรถยกมานำเข้าศูนย์ดีที่สุด

1. ตรวจสอบความเสียหาย ติดต่อประกันภัย แจ้งระดับน้ำที่เข้าไปในรถ และถ่ายรูปภายใน-ภายนอกรถไว้เพื่อเป็นหลักฐาน

2. ติดต่อบริการเคลื่อนย้ายรถ (รถสไลด์ รถยก รถลาก) เพื่อนำรถเข้าศูนย์บริการ หรืออู่ซ่อมรถ ไม่สตาร์ทรถและเคลื่อนย้ายรถด้วยตนเอง

• ช่างจะประเมินความเสียหาย ตรวจสอบระบบต่างๆ ของรถ ดูว่ามีน้ำเข้าถึงส่วนใดบ้าง

• ถ่ายของเหลวทุกชนิด เนื่องจากน้ำอาจปนเปื้อนและทำให้ระบบเสียหายได้ เช่น เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ และน้ำมันอื่นๆ

• ตรวจสอบซ่อมแซมระบบไฟฟ้า ระบบควบคุมอิเล็กทรอนิกส์ทั้งหมด เช่น แบตเตอรี่และสายไฟต่างๆ

• ทำความสะอาดภายในรถ เช่น พรม เบาะที่นั่ง ส่วนประกอบภายในที่เปียกน้ำ เพื่อป้องกันการเกิดเชื้อราและกลิ่นเหม็น

...


3. เจ้าของรถ ทดสอบรถหลังซ่อมแซม ตรวจสอบการทำงานของระบบไฟฟ้า ระบบเบรก ระบบปรับอากาศ ระบบต่างๆ ของรถ และทดลองขับรถ หากพบปัญหาให้แจ้งกลับไปที่ศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมทันที 

4. วางแผนการบำรุงรักษาในระยะยาว รถที่ถูกน้ำท่วมอาจเกิดปัญหาในอนาคตได้ ควรวางแผนการบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอ

อย่างไรก็ตาม การซ่อมรถที่ถูกน้ำท่วมทั้งคัน ควรพูดคุย ปรึกษากับศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถ ว่าการซ่อมนั้นคุ้มค่ากับการใช้งานต่อหรือไม่ หรือมีทางเลือกที่ดีกว่า

ทั้งนี้หากเจ้าของรถได้ทำประกันรถยนต์ โดยเฉพาะประกันรถยนต์ชั้น 1 และประกันรถยนต์ชั้น 2 บางประเภทจะมีการรับประกันรถยนต์ที่ถูกน้ำท่วม แนะนำให้อ่านกรมธรรม์ประกันรถที่ซื้อไว้เพื่อขอรับการเคลมได้ทันที ส่วนกรณีที่ประเมินแล้วค่าซ่อมมากกว่าทุนประกัน บริษัทอาจจะชดเชยเป็นเงินประมาณ 70-80% ของทุนประกันแทน


ขอบคุณข้อมูลจากกระทรวงคมนาคม