ยางรถยนต์คือสิ่งเดียวของรถที่สัมผัสพื้นถนนในขณะที่รถวิ่ง ไม่ว่าจะเป็นขณะวิ่งแบบสบายใจหรือตอนรีบสุดขีดเพื่อพาเจ้าของรถไปห้องน้ำให้ทัน ยางรถยนต์ไม่ใช่สิ่งที่แพงที่สุดบนตัวรถ แต่เป็นสิ่งที่สามารถชี้ชะตาได้ว่าทุกอย่างของตัวรถจะอยู่ดี หรือจะมีจุดจบที่ข้างทาง การตรวจสอบสภาพยางจึงเป็นสิ่งสำคัญ บทความไทยรัฐออนไลน์วันอาทิตย์นี้ มาคุยกันเรื่องยางรถยนต์ เช็คอย่างไร เมื่อไหร่ควรเปลี่ยน

...

หลังจากที่เขียนคอลัมน์ช่วงหลังๆสั้นลงเพราะคนอ่านชอบ น้าฉ่าง อาคม รวมสุวรรณก็ชอบ เพราะไม่ต้องตรวจนาน เอ้า แบบนี้ก็สวยผมสิครับ เขียนยาว คนค้นข้อมูลก็เหนื่อยเหมือนกันเพราะตั้งใจอยากให้ได้ความรู้คุ้มค่าการไล่ปิดไล่บล็อก Pop-up Ad ที่โผล่ขึ้นมา แต่เราทำตามกระแสยุคที่คนไม่อยากอ่านบ้างก็ได้ครับ สัปดาห์นี้ผมเขียนเรื่องยางเพราะเร็วๆนี้เพิ่งอวยพรสุขสันต์วันเกิดให้ น้าปลิ้น หนึ่งในผู้อาวุโสวงการสื่อรถยนต์ของเรา โดยบอกว่า ปีนี้อย่าให้โดนตะปูตำยางบ่อย เพราะน้าปลิ้นคือคนดวงดีหลายเรื่อง ยกเว้นเรื่องตะปูหรือวัตถุมีคมตำยาง ซึ่งแกมีความซวยเจอเรื่องพวกนี้บ่อยจนผมว่าไม่มีมนุษย์ที่ไหนซวยในเรื่องนี้มากเท่า ก็เขียนเรื่องยางนี่แหละ

การจะดูว่ายางรถยนต์ที่ใช้อยู่ เมื่อไหร่ถึงควรถึงเวลาเปลี่ยน มีหลายปัจจัย ถ้าเอาแบบกวนส้นที่สุด ก็คือ ถ้าเปลี่ยนยางมาแล้วลองขับรถ แล้วพบว่าเกาะถนนไม่พอ นุ่มไม่พอ หรือสมรรถนะไม่เป็นที่พอใจของคุณ ก็ถึงเวลาเปลี่ยนได้ละครับถ้าคุณมีเงิน หรือสอง..ถ้าภรรยาคุณบ่นว่ายางชุดนี้กระด้างจัง แน่นอน อันนี้ก็ควรเปลี่ยนให้เร็วที่สุด แต่ถ้าไม่นับสองเรื่องนี้ เราก็ต้องพิจารณาจากสภาพของยางในหลายด้าน

ข้อแรก อายุการใช้งาน โดยหลักคือ เรานับจากวันที่ยางนั้นเริ่มแบกน้ำหนักหรือเริ่มถูกใช้ออกถนน ยางน่ะ ถ้าเก็บสต็อคไว้เฉยๆอย่างถูกวิธีมันสามารถอยู่ได้นาน 5 ปีโดยไม่เสื่อมสมรรถนะ ที่พูดนี่เพราะเคยลองเอายางอายุ 1, 3 และ 5 ปีใส่รถทดสอบวิ่งรอบสนามทำเวลามาแล้วและได้เวลาต่างกันไม่เคยเกิน 1 วินาที แต่ถ้ามองแบบเซฟๆไว้ก่อนก็คือยางสต็อคไม่เกิน 3 ปี ไม่มีอะไรต้องกังวล แต่หลังจากที่มันถูกติดตั้ง แบกน้ำหนักรถและวิ่งบนถนน ความเสื่อมจะเกิดขึ้นตามการใช้งาน โดยทั่วไปแล้วยางรถยนต์เท่าที่ผมพบมาไม่ว่าจะ Low-cost หรือ High-cost (ไม่รวมยางที่ใช้ในการแข่งขัน) มันมักจะอยู่ได้ 50,000 กิโลเมตรโดยไม่พาคุณไปกวาดโต๊ะจีนลิงข้างถนน

...

ดังนั้นวิธีคิดแบบง่ายและเซฟของผมคือ ยางที่ลงถนนแล้ว ควรใช้ 50,000 กิโลเมตรแล้วเปลี่ยน และในกรณีรถใช้น้อย ต่อให้วิ่งแค่ปีละ 10,000 กิโลเมตร ถ้าครบ 5 ปีก็ควรเปลี่ยนได้แล้ว “หากไม่แน่ใจว่าควรเปลี่ยนหรือไม่” หรือในบางกรณี คุณซื้อรถมือสองมา แล้วเจ้าของเก่าจำไม่ได้ว่ายางเปลี่ยนมาเมื่อไหร่ แล้วดูตัวเลข 4 หลักที่บริเวณแก้มยาง ตัวเลขนี้จะอยู่ในกรอบทรงสี่เหลี่ยมคล้ายแคปซูลยาครับ เช่น 1124, 5023 อันแรกคือยางผลิตสัปดาห์ที่ 11 ของปี 2024 และอันที่สองคือยางผลิตสัปดาห์ที่ 50 ของปี 2023 เป็นต้น สมมติว่านี่คือปี 2025 แล้วคุณเห็นเลขยางเป็น 2119 ก็คือยางมันผลิตตั้งแต่ปี 2019 ถ้ามีเงินเหลือก็เปลี่ยนเถอะครับ เพราะถึงดอกยังเหลือแต่ไม่แน่ใจได้หรอกว่าเนื้อยางยังเกาะเหนียวเหมือนเดิมไหม

อย่าลืมนะครับว่า ยางสต็อคเฉยๆ 5 ปี กับยางใส่รถและใช้งานมาแล้ว 5 ปี มันคนละเรื่องกัน แล้วบางทีเราก็ไม่ทราบว่าเจ้าของเก่าใช้มาแล้วกี่กิโลเมตร

...

ทีนี้ ถ้าไม่นับเรื่องปียางที่เก่าอย่างชัดเจน เราจะดูอะไรได้อีก? ข้อต่อมาก็คือ สภาพของดอกยางครับ ดอกยางนี่ มีความสำคัญมากสำหรับการวิ่งในเขตฝนตก เวลาถนนแห้ง เนื้อยางที่เกาะหนึบคือสิ่งสำคัญ แต่ถ้าถนนเปียกหรือแอ่งน้ำขัง ก็ได้ดอกยางนี่ล่ะครับเป็นตัวช่วยรีดน้ำ/ไล่น้ำออกไปด้านข้างและด้านหลังให้เร็วก่อนที่น้ำนั้นจะรวมตัวเป็นมวลใหญ่ที่บวกกับความเร็วของรถแล้วทำให้เกิดอาการยกลอยเหินน้ำ ดอกยางนั้น มักจะมีจุดสำหรับสังเกตความลึก เรียกว่าสะพานยาง เป็นเส้นนูนเล็กๆในร่องดอกยางครับ ถ้ายางมันสึกจนสะพานยางนี้มีระนาบเสมอกับยางโดยรอบ ก็คือได้เวลาเปลี่ยนยาง ถ้าหาสะพานยางไม่เจอ ก็ใช้สายตากะประมาณเอาก็ได้ว่า ถ้าดอกยางเหลือไม่ถึง 2 มม. ก็เปลี่ยนเถอะครับ มันรีดน้ำไม่ดีแล้ว

นอกจากนี้ ตรงแก้มยางข้างนอกจะมีสามเหลี่ยมขนาดเล็กเท่าตัวแมลงเม่า เรียกว่ามาร์กสามเหลี่ยมแก้มยาง ในขณะที่สะพานยางบอกความสึกของดอกยางที่หน้ายาง มาร์กสามเหลี่ยมจะบอกความสึกหรอของแก้มยาง ถ้ามาร์กนี้เลือนหายไป ก็ได้เวลาเปลี่ยนแล้วครับ ถ้ามาร์กสามเหลี่ยมหายเกือบหมดแต่สะพานยางยังอยู่ ก็เป็นไปได้ว่าคุณเล่นโค้งหนักมาก ถ้าเมียคุณดูยางเป็นเขาอาจจะด่าคุณได้ แต่บางครั้ง การตั้งศูนย์ที่ค่าเพี้ยน ล้อหุบหรือแบะมาก (เวลามองจากหน้าตรง/ท้ายตรง) ก็ทำให้ยางสึกที่แก้มเร็วกว่าตรงกลางหน้ายางได้เหมือนกัน นอกจากเปลี่ยนยางแล้วควรเช็คศูนย์ล้อด้วยก็ดีครับ

...

ลักษณะภายนอกของยาง ก็นำมาใช้พิจารณาประกอบได้เช่นกัน แก้มยางหรือเนื้อยางมีการแตกลายงาหรือรอยร้าว ก็เป็นสัญญาณบ่งบอกได้ว่าเนื้อยางเริ่มเสื่อมคุณภาพ อาจจะเพราะคุณขับมันในสภาพที่ร้อนจัดเป็นประจำ หรือเนื้อยางแข็งจนไม่มีความยืดหยุ่นเหลือแล้ว ก็ควรเปลี่ยน หรือยางที่ถูกกระแทกมาแล้วมีลักษณะบวมนูนบางจุดที่แก้ม โครงสร้างจุดนั้นอาจเกิดความเสียหายไปแล้ว ถ้ายังไม่มีเงินเปลี่ยนยางในขณะนั้น ก็อย่าขับโหดมากนัก เช่นเดียวกันสำหรับยางที่โดนตะปูตำมาแล้วรั่ว ก็ปะยางแล้วใช้ต่อได้ครับเพียงแต่ว่ายางที่เพิ่งปะมานั้น คุณควรหมั่นตรวจลมยางบ่อยหน่อย ถ้าพบว่ามันไม่รั่วเมื่อเทียบกับเส้นอื่น ก็ใช้งานได้ แต่ไม่ควรขับด้วยความเร็วสูงแบบซิ่งหนักๆครับ

รอยบาดที่เนื้อยาง หรือรอยฉีกขาด จะมีแบบที่บาดฉีกแบบยางรั่วเลย ในกรณีนั้นต้องเปลี่ยนใหม่อยู่แล้วครับ แต่ถ้าบาดไม่ลึก เช่นอาจจะไปถูกับหินคมมา ดูความลึกของแผลครับ ถ้าเป็นยางรถเก๋งเน้นนุ่ม ยางอีโคคาร์ บาดลึกไม่เกิน 1 มม. ใช้ต่อได้ครับ ส่วนยางรถประเภทกระบะ หรือยางออฟโรด พวกนี้แก้มยางจะหนาจัด บางทีบาดลึก 2-3 มม. ก็ยังใช้ต่อได้ แต่ทั้งนี้ผมให้คุณพิจารณาบริหารความเสี่ยงของคุณเอาเองนะครับ แค่เล่าให้ฟังจากประสบการณ์

สิ่งที่เหลือ พิจารณาว่าควรเปลี่ยนยางหรือไม่ ก็คือ ความผิดปกติของยางที่พบเมื่อมีการขับใช้งาน เช่น ถ้าหากยางเส้นใดเส้นหนึ่งลมยางลดลงเร็วกว่าเส้นอื่นเมื่อผ่านไป 500-1,000 กิโลเมตร ก็เป็นไปได้ทั้งกรณีที่ยางเสื่อม หรือหัวเติมลมยาง หัวลูกศรเติมลมเสื่อม ซึ่งร้านยางจะสามารถเช็คให้คุณได้ ต่อมาคือประสิทธิภาพและสมรรถนะที่แย่ลง เช่น เคยเบรกหนักแล้วไม่มีเสียงยางร้อง แล้วต่อมาเบรกทีไร เสียงยางร้องดังตลอด เข้าโค้งแล้วยางร้องดัง มีอาการหน้าดื้อโค้งหรือท้ายปัด เสียงยางหอน หรือเสียงดังแบบที่ไม่เคยได้ยินสมัยเปลี่ยนยางใหม่ๆ

ถ้าเสียงดังเหมือนมีมอเตอร์ไซค์ 4 จังหวะวิ่งไล่ตาม แบบนั้นคือลูกปืนล้อครับ ไม่ใช่ยาง แต่ถ้าลูกปืนล้อคุณใหม่แล้วมีเสียงแบบนั้น คุณอาจจะต้องเช็คว่าคุณเติมน้ำมันแล้วลืมจ่ายเงินแล้วเด็กปั๊มกับผู้จัดการกำลังขี่รถไล่กวดคุณอยู่หรือเปล่า ส่วนเสียงยางที่เสื่อมจากดอกยางเสื่อมคุณภาพ มักจะดังคล้ายเวลาคุณจอดห่างรางรถไฟประมาณ 20 เมตรแล้วมีหัวรถจักรดีเซลรางวิ่งผ่าน แต่มันจะดังตอนคุณวิ่งประมาณ 90-110 ขึ้นไป ส่วนการวิ่งแล้วสั่น บางทีไม่ได้แปลว่ายางเสื่อมเสมอไปนะครับ ถ้าจู่ๆสั่นเองทั้งที่เมื่อวานยังวิ่งดี บางทีมันคือเม็ดตะกั่วถ่วงล้อที่แปะอยู่ข้างในล้อครับ อาจจะหลุดเพราะกาวเสื่อม หรือหลุดเพราะไปล้างรถแล้วโดนน้ำแรงดันสูงฉีดตอนที่กาวมันกำลังเสื่อมอยู่แล้ว พอตะกั่วหลุดไป ล้อก็ขาดตัวถ่วงบาลานซ์ มันก็วิ่งแล้วสั่นได้เหมือนกัน

ส่วนเรื่องเอาเล็บจิกยางดูความแข็ง อาจจะใช้ได้สำหรับคนที่เคยลองจิกยางใหม่ๆมาหลายๆแบบแล้วจำความรู้สึกตอนจิกได้แม่นครับ แต่สำหรับคนทั่วไปที่ปกติไม่เคยลองทำ มันอาจจะวัดยากไปนิด ใช้วิธีอื่นเช็คดีกว่าที่สำคัญคือ การตรวจสอบสภาพยางรถยนต์ควรทำเป็นประจำอย่างน้อยเดือนละครั้ง หรือทุกๆ 10,000 กิโลเมตร เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ ถ้าจอดอยู่บ้าน ก้มส่องดูหน้ายางด้วยก็ดี หรือถ้าให้ดีนะครับ สำหรับคนที่ไม่ชอบทำอะไรกับรถด้วยตัวเอง และพอมีเงิน มีเวลา คุณเข้าไปร้านยาง ถอดสลับยางหน้า/หลัง หรือสลับแบบไขว้ X (แล้วแต่รูปแบบของดอกยางว่าทำได้หรือไม่) ในระหว่างถอดออกมา ให้สังเกตสภาพแก้มยาง ทั้งด้านนอกที่เราเห็นด้วยตาเปล่า และแก้มด้านในที่ปกติจะมองเห็นได้ยาง จะบอกว่า บางคันวิ่งๆไปแล้วยางระเบิด เพราะแก้มยางมันสึกหรือถูกบาดที่ด้านในนี่ล่ะครับ ซึ่งถ้าคุณไม่ก้มดูแบบหมอบไปกับพื้นแล้วเหลือกตาขึ้นมอง ก็จะไม่ได้สังเกตเลย ระวังด้วยครับ

พอหอมปากหอมคอครับสำหรับบทความยางในสัปดาห์นี้ ถ้าใครนึกออกว่า ไม่ได้เช็คยางมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ก็ปิดหน้านี้แล้วออกไปเช็คยางตัวเองหน่อยก็ดี เช็คลมยางก็คือเรื่องหนึ่ง เช็คสภาพยางก็คือคนละเรื่องกัน ขอให้มีความสุขความปลอดภัยในการเดินทางของท่านครับ

Pan Paitoonpong