แม้ว่าในปัจจุบัน รถพลังไฟฟ้าและไฮบริดหลายรุ่นไม่ได้มีสิ่งที่เรียกว่า “เกียร์” ที่เป็นระบบส่งกำลังมีอัตราทดต่างๆให้เราใช้ ก็ต้องไม่ลืมว่ารถเบนซินและดีเซลจำนวนมากยังมีคนซื้อใช้อยู่ การดูแลเกียร์ที่ดีและการใช้งานที่ถูกต้องนั้น จะทำให้เกียร์ซึ่งเป็นอวัยวะหนึ่งของรถที่จัดว่ามีค่าซ่อมแพง อยู่กับเราได้นานขึ้น และการใช้งานเกียร์ที่ถูกต้อง ไม่ได้แปลว่าต้องเอาเล็บเท้าเขี่ยคันเร่ง ขับช้าจนเต่าแซง หรือขับไปกลัวไป มันมีวิธีที่จะขับและดูแลให้สบายใจสบายกระเป๋าแบบมีดุลยภาพ

วันนี้น้าฉ่าง อาคม รวมสุวรรณ แกขับไปทิศตะวันออกยังจังหวัดตราดกับน้าเต้ย นิธิ AutolifeThailand และน้าแมน Luxman ชะรอยบรรดาลุงๆแห่งวงการอาจอยากหาเรื่องสนุกทำมากกว่าการตรวจงานของผม น้าฉ่างเลยบอกว่าสัปดาห์นี้ขออะไรง่ายๆสั้นๆ ให้การบ้านมาเป็นเรื่องการใช้งานและดูแลรักษาเกียร์อัตโนมัติ ซึ่งผมก็รับ ทั้งๆที่ถ้า Google ดู น้าฉ่างเองก็เขียนบทความลักษณะนี้เอาไว้แล้วถึงสามบทความใน ThairathOnline แล้วนี่หว่า แต่ถือว่าเป็นคำสั่งนายแล้วกันครับ เขียนซ้ำไปเสียเลย

...

ผมคงไปพาคุณไปเรียนประวัติศาสตร์เกียร์ออโต้ตั้งแต่สมัยอาร์คีมีดีสทำ Launch Control ออกตัวรถม้าก่อนคริสตกาลที่กรีก หรืออธิบายหลักวิศกรรมของเกียร์ เอาเป็นว่าเราเข้าใจว่า เกียร์ออโต้และ CVT ที่เราพูดถึงก็คือเกียร์ที่เราพบในรถทั่วไปในทุกวันนี้ ไม่รวมพวกรถไม่ได้มีเกียร์จริงจังอย่างพวกรถไฮบริดหรือ EV นะครับ ในการใช้งาน เท่าที่ผมสังเกตมา หลานๆเพื่อนๆ 80% ก็ขับกันถูกแล้วล่ะ เพราะความจริงก็คือ เกียร์ออโต้และ CVT มันมีรสนิยมชอบความเป็นปกติของชีวิตในลักษณะทางสายกลาง นิสัยออกจะเหมือนเจ้านายพวกเราบางคนด้วยที่ไม่ชอบอะไรที่เชื่องช้ายืดยาดเกิน และไม่ชอบอะไรที่เซอร์ไพรส เช่นขับอยู่ดีๆกดมิดเท้าคิกดาวน์ระห่ำซ้ำๆ

ดังนั้นเคล็ดไม่ลับแรกของการทำให้เกียร์ทั้งสองประเภทอยู่ยืดก็คือ กระทืบคันเร่งเท่าที่จำเป็น คือถ้าเกิดเป็นถนนเลนสวนแล้วกำลังแซงสิบล้อไต่เข่าคุณจะมัวมานั่งห่วงสวัสดิภาพเกียร์มากกว่าสวัสดิภาพเมียในรถก็ใช่ที่ แต่แค่อย่าเอะอะก็กระทืบคันเร่ง..ป๊อง..ได้คะแนนเซฟเกียร์แล้วหนึ่งดอก แต่ไม่ได้แปลว่า อุ้ย ห้ามคิกดาวน์ รอบสูง กลัวเกียร์พัง งั้นเราฉลาดล้ำไปเลย เกียร์สมัยนี้มักมีโหมดบวกลบ (เพิ่ม/ลดเกียร์) ได้นี่หว่า ห้ามกระทืบ งั้นเรากดยัดเกียร์ห้าเกียร์หกแล้วลากโหนขึ้นเขาไปเลย ดีไหม

...

ก็ย้อนกลับไปตรงที่ว่า เกียร์นั้นเป็นอวัยวะที่ชอบดุลยภาพครับ การเอาเกียร์สูงใช้รอบต่ำแล้วขึ้นเนินหรือแซงโดยกดคันเร่งลึกๆ หวังว่าเกียร์จะไม่พัง หวังว่าจะประหยัด ไอ้นั่นก็ไม่ถูกเหมือนกัน เกียร์ต่ำให้กำลังลากขึ้นเนินหรือแซงดี เกียร์สูง เพิ่มความเร็วได้สูงสำหรับการเดินทาง แต่สมมติเราเร่งจาก 50 ไป 80 โดยใช้เกียร์ 3 กับใช้เกียร์ 6 ไอ้อย่างหลังนี่เครื่องกับเกียร์มีภารกรรมสูงกว่าเพราะอัตราทดเกียร์ที่ต่ำมันไปลดทอนกำลังจากเครื่องที่จะมาถึงล้อลง คุณสังเกตได้ครับ ระหว่างเกียร์ 3 กับ 6 เร่งจาก 50 ไป 80 ด้วยการกดคันเร่งเท่ากัน เกียร์ที่เหมาะสมจะทำให้รถใช้เวลาทำความเร็วน้อยกว่า เท่ากับว่านอกจากต้องออกแรงต้านภารกรรมน้อยกว่าแล้ว ยังใช้เวลาเพื่อจบการแซงนั้นน้อยกว่าด้วย เครื่องยนต์จะหมุนรอบสูงหน่อย แต่ถ้าไม่เกิน 4,500 ในรถเบนซิน หรือ 3,500 ในรถดีเซล เครื่องยนต์ยังยิ้ม บอกสบายมากครับ เฟืองและอวัยวะในเกียร์จะเผชิญความเครียดบนตัววัสดุน้อยกว่าด้วย

ส่วนการเล่นเกียร์เองนั้น อาจจะมีส่วนทำให้เกียร์เสื่อมภายในอยู่บ้าง แต่ถ้าเล่นเฉพาะเวลาขับในที่จำเป็นเช่นขึ้นลงเขา เกียร์ออโต้และ CVT สมัยใหม่มีกล่องควบคุมที่ฉลาดมากในการเซฟสุขภาพให้เกียร์เบื้องต้น ดีกว่าเกียร์อัตโนมัติจาก 30 ปีก่อนมาก เพราะเวลาเกียร์มันจะเปลี่ยนหรือจะทำอะไร มันคุยกับเครื่องยนต์เองอยู่เบื้องหลังตลอดเวลา ไม่เหมือนรถ 30 ปีก่อนที่เกียร์ทำงานก็เรื่องของมัน เครื่องทำงานก็เรื่องของมัน อาจจะมีล่ามคุยกันก็ไม่เยอะและละเอียดเท่ารถสมัยใหม่

...

คุณจะเล่นเกียร์เมื่อจำเป็นก็ทำได้ครับ แต่แค่ว่าเวลาเร่ง ให้ค่อยๆเพิ่มคันเร่งไปถึงจุดที่ต้องการ อย่าทำแบบสับเกียร์ลงต่ำเสร็จแล้วกดคันเร่งมิดเลย ทางสายกลางเอาไว้ หรือถ้าอยากเพิ่มความเร็วในลักษณะแซงบนทางราบ กดคันเร่งลงไป 50% ไวๆ เกียร์ก็คิกดาวน์แล้วครับ จากนั้นถ้าหลังคิกดาวน์แล้วอยากเพิ่มความเร็วก็เพิ่มคันเร่งจาก 50 เป็น 75% โดยใช้เวลาราว 2 วินาทีดู ลองหัดดูครับ แล้วรถจะไปได้เร็ว และเกียร์ก็ชอบด้วย ลองดูครับ คิกดาวน์ 50% แรกกดไว แต่ 50 ไป 75 เพิ่มแบบช้าๆ อันนี้เอาไว้ใช้เวลาแซงหรือเพิ่มความเร็วนะครับ ไม่ได้ให้ทำตลอด

...

ถ้าจู่ๆเบื่อที่ผมแนะนำแล้วอยากหาวิธีพังเกียร์ ก็ไม่ยากครับ เกียร์ชอบดุลยภาพ ไม่ชอบเซอร์ไพรส ไม่ชอบความกดดัน อยากพังลองเลยครับ ออกตัวแบบพวกรถซิ่ง เบิ้ลเครื่องคารอบไว้สูงๆแล้วปัดจากเกียร์ N มา D ออกเอี๊ยด หรือเข้าเกียร์ D เอาเท้าซ้ายเหยียบเบรกจม เอาเท้าขวากดคันเร่งจม แล้วยกเท้าซ้ายเมื่อจะออกตัว แบบนั้นดีดออกตัวแรงดี และพังไวสมใจอยากครับ เพราะเกียร์ต้องรับภารกรรมสูงมาก อยากจะหมุนล้อแต่ล้อก็โดนเบรกสั่งว่าเอ็งอย่าหมุน เกียร์มันก็เครียดดิ ถ้าเป็นรถเกียร์ CVT บางรุ่นที่ไม่ใช่ Subaru WRX CVT คุณทำแบบนี้ไม่กี่รอบ อาจได้โอเวอร์ฮอลเกียร์สมใจอยากเพราะสายพานในเกียร์ขาดเหมือนความรักระหว่างคุณกับแฟนคนที่แล้ว

สำหรับการขับในเมือง ใครติดนิสัยเหยียบ ยก เหยียบ ยก ทิ่มๆปล่อยๆคันเร่งอยู่ตลอดเวลา เลิกนะครับ แบบนั้นเกียร์ก็ไม่ชอบและคนที่นั่งด้วยก็อยากอาเจียน นี่ไม่ได้หมายถึงพวกขับซิ่งนะครับ แต่เป็นคนที่ขับไปเรื่อยๆแต่เหยียบๆยกๆตลอดเวลา ผมเจอมาเยอะ ทำไปทำไม ส่วนการจอดระหว่างกำลังเดินทาง ก็ไม่จำเป็นต้องผลักจาก D มา N ทุกครั้งหรอกครับ จะเหยียบเบรกใส่เกียร์ D เอาไว้บ้างก็ได้โดยเฉพาะถ้าแยกไหนมีนับถอยหลังให้ ผมมักให้หลักว่า ถ้าการหยุดครั้งนั้นกินเวลาไม่ถึง 60 วินาที เราก็คาเกียร์ D ไว้ ถ้าเกิน 60 วินาที ค่อยผลักเป็น N คุณลองดูก็ได้ครับ ใครบอกว่าเวลาใส่เกียร์ D แล้วเหยียบเบรกทำให้พังไวเพราะเกียร์มันขืน ก็ไม่ต้องกลัวครับ คือตราบใดที่คันเร่งไม่ถูกกด เกียร์จะมีการรับกำลังน้อยและตัวชุดส่งกำลังของมันจะมีกลไกที่ฟรีการหมุนได้ครับ ดังนั้นใส่ N เมื่อต้องหยุดนานกว่า 60 วินาทีก็พอ

แล้วก็ไม่ต้องใส่เกียร์ N ปล่อยไหลเมื่อเข้าใกล้จุดที่จะหยุดครับ ไม่ได้ช่วยเซฟเกียร์ ไม่ได้ช่วยประหยัดน้ำมัน แต่ถ้าเกิดรถบรรทุกเบรกแตกมาข้างหลัง คุณอยากจะเบนหัวรถออกแล้วเร่งหนี ก็ต้องเสียเวลาใส่เกียร์ D ก่อนอีก แล้วรถใหม่สมัยนี้ มาพร้อมเกียร์ที่มีฟังก์ชั่น Coasting คือฟังก์ชั่นปล่อยไหลเองอยู่แล้วโดยที่คอมพิวเตอร์จะควบคุมทั้งเรื่องน้ำมันเกียร์และการปล่อยฟรีให้รถไหลได้ ลองกด Drive Mode รถคุณเป็น Economy หรือโหมดประหยัดดู บางคันจะพบว่าเวลายกคันเร่งตอนใกล้ชะลอ รถไหลได้ไกลขึ้น (แต่ไม่ได้เป็นแบบนั้นทุกคัน)

แค่ตามหลักที่เขียนเล่ามาให้ฟังได้นี่ อายุเกียร์ก็ยืดออกไปเยอะแล้วครับ แต่อีกสิ่งที่สำคัญไม่แพ้วิธีการขับ ก็คือวิธีการดูแลรักษา ซึ่งก็ไม่ได้ยากอะไรเลย เพราะรถสมัยนี้ ทำตัวเป็นวัยรุ่นคือฉลาด แต่ความลับเยอะ อยากเช็คน้ำมันเกียร์ตอนเช้าๆเหมือนรถคุณลุงก็ทำไม่ได้เพราะไม่มีก้านให้เช็ค บางรุ่นไม่มีทั้งก้านและเช็คผ่านจอกลางรถก็ไม่ได้อีก ก็ตัดมันไปแล้วกันไอ้เรื่องการเช็คน้ำมันเกียร์รถสมัยนี้ เหลือเพียงแต่ว่า คุณพารถไปเปลี่ยนน้ำมันเกียร์และกรองเกียร์ตามกำหนดที่ระบุไว้ในคู่มือของรถคุณ

ตัวเลขที่ผมกับน้าฉ่างมักใช้คือ 40,000 กิโลเมตร ก็เปลี่ยนทีนึง ไม่ได้แปลว่าห้ามเกิน 40,000 นะครับ อาจจะเกินนิดหน่อยได้ รถบางรุ่นก็ใช้น้ำมันเกียร์ได้นานกว่านั้น เพียงแต่ตลอดที่ทำงานด้านรถยนต์มา เราอ่านคู่มือรถ และดูผลแล็บน้ำมันเกียร์บางยี่ห้อมาบ้าง ก็พบว่าในประเทศที่อากาศชื้นมาก และน้ำท่วมบ่อยโคตรๆอย่างไทย น้ำมันเกียร์จะเสื่อมสภาพเร็ว เชื่อพวกเราเถอะว่ามันไม่มีเกียร์อะไรหรอกครับที่ใช้ 10 ปี 200,000 กิโลเมตรแล้วไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ ถ้าคุณเปลี่ยนถ่ายที่ 40,000 กิโลเมตรแบบพวกเรา น้ำมันเกียร์อาจยังไม่หมดอายุดี 100% แต่การที่ได้น้ำมันเกียร์สดใหม่บ่อยกว่า ความชื้นในระบบก็น้อย ฝุ่นผงเหล็กคาในน้ำมันก็น้อยลง เกียร์ก็อายุยืนและทำงานได้เต็มประสิทธิภาพตลอด

การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ ถ้าทำที่ศูนย์บริการรถของคุณ เขาจะมีเครื่องมือพร้อมอยู่แล้ว แต่ถ้าเปลี่ยนข้างนอก ก็จะมีทั้งแบบที่ปลดอ่างน้ำมันเกียร์ หรือถ่ายน้ำมันทิ้งจากรูที่เขาทำไว้ให้ หรือดูดออก แล้วเติมน้ำมันใหม่เข้าไปเฉยๆ วิธีนี้ประหยัดเงินและเวลา แต่มันมักมีน้ำมันเกียร์คาอยู่ในระบบที่ไม่ได้หลุดออกมาด้วย ราวๆ 1 ใน 3 ของทั้งหมด สำหรับคนบ้าดีเทล จึงมีบริการประเภทฟลัชชิ่ง คือเอาเครื่องอัดน้ำมันเกียร์ใหม่เข้าไปแล้วดูดน้ำมันเก่าออกมา อัดน้ำมันใหม่ไปแทนที่น้ำมันเก่า เรื่อยๆจนดูน้ำมันผ่านท่อใสๆที่ตัวเครื่องฟลัชแล้ว เห็นว่าน้ำมันเกียร์ที่วนออกมาใส่แจ๋ว วิธีนี้ เอาน้ำมันเกียร์ออกได้เยอะ แต่ก็เอาเงินออกจากกระเป๋าเรามากกว่าด้วย ถามว่าจำเป็นไหม ผมตอบเลยว่าไม่ (ในกรณีคนทั่วไป)

นอกจากนี้ เวลาเช็คหม้อน้ำตอนเช้า ก็อย่าลืมส่องดูสภาพสีของน้ำหล่อเย็นหน่อยว่ามีคราบคล้ายๆน้ำมันเคมีสะท้อนเป็นสีรุ้งๆบนน้ำที่เอ่ออยู่ตรงคอหรือไม่ และ เวลาขับ เวลาเปลี่ยนเกียร์ หรือกดคันเร่ง คุณพบว่ารถมันมีอาการกดคันเร่งแล้วรถไม่เร่งตามอยู่ 1-2 วินาทีแล้วจู่ๆก็กระชากไปข้างหน้าดังตึงบ้างหรือเปล่า ถ้าพบ ก็คือน้ำจากหม้อน้ำรั่วเข้าไปปะปนกับน้ำมันเกียร์ครับ มันรั่วตรงจุดที่เขาวนน้ำมันเกียร์มาระบายความร้อนออกที่หม้อน้ำ พวกรถยุโรปจะเจอได้ง่าย หรือบางทีการที่เราลุยน้ำสูงมากไม่ระวัง น้ำที่เราลุยๆไป มันท่วมท่อหายใจของเกียร์แล้วย้อนเข้าไปในตัวเกียร์ ก็ได้เหมือนกัน ถ้าเจออาการนี้ คือน้ำเข้าไปในเกียร์ครับ เชิญเข้าอู่หรือศูนย์ได้เลย อย่าฝืนขับต่อ

อีกอาการที่ควรสังเกตคือ เวลาเข้าเกียร์ถอยหลัง หลังเข้าเกียร์ R เสร็จแล้ว รถกินเวลานานเกิน 2 วินาทีกว่าจะมีแรงดึงไปข้างหลังส่งมา ถ้าเป็นแบบนั้นก็เตรียมเข้าโรงหมอเช่นกันครับเพราะอวัยวะส่งกำลังในเกียร์น่าจะเสื่อมจากการใช้งานจริงๆแล้ว

จะว่ากันเรื่องเกียร์อัตโนมัติ จริงๆสำหรับรถยุคใหม่ มันก็มีเพียงเท่านี้ล่ะครับ ถ้าจำได้และทำได้ อายุเกียร์ก็ยืดออกไปได้ครับ

Pan Paitoonpong