การขับรถเป็นหัวใจของคนที่รักรถ เช่นเดียวกับพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ก็คือหัวใจของลูกหลาน บ่อยครั้งที่เราพบว่าเราอยากพาพวกท่านไปท่องเที่ยวตามสถานที่ที่น่าไปหลายแห่ง แต่เมื่อเจอคนขับเท้าไฟเข้า การเดินทางก็คลุกเคล้าไปด้วยกลิ่นดราม่า หรือไม่ก็กลิ่นอาหารที่มีคนรับประทานเข้าไปแล้วไม่ได้ถูกส่งออกตามทางที่มันควรออก หลายคนมักบอกแค่ว่า ถ้าพาคนแก่ไปเที่ยว ก็แค่ขับให้ช้าเข้าไว้ อันที่จริงเราไม่จำเป็นต้องช้าจนเต่าด่าพ่อก็ได้ มันมีวิธีที่จะทำให้การโดยสารรถของพ่อเฒ่าแม่แก่และตัวคุณเอง ดำเนินไปด้วยกันอย่างมีความสุขได้

สัปดาห์นี้ ThairathOnline วันอาทิตย์อยากจะบอกว่า เมารถ ไม่มึนเมา เท่าเมารัก แต่ถ้าเมารถแล้วไม่ได้พัก ธรรมชาติของร่างกายมนุษย์ก็จะบังคับให้คุณแวะพักข้างทางอย่างช่วยไม่ได้เอง คอลัมน์นี้ น้าฉ่าง อาคม รวมสุวรรณ ตั้งใจให้ผมเขียนแบบฝากกัด “บังเต้ย” นิธิ ท้วมประถม แห่งช่อง AutolifeThailand.tv สักหน่อย โทษฐานที่นอกจากจะเป็นคนจิ้มนิ้วบอกทีม PR ของ Kia ประเทศไทยให้เอาน้าฉ่างแกไปนั่งด้วยแล้ว ตอนทดสอบ EV5 เจ้า SUV พลังไฟฟ้ารุ่นใหม่ราคาน่าโดน บนเส้นทางภูเขา จากจังหวัดเชียงรายไป อำเภอสะปัน จังหวัดน่าน บังเต้ยเล่นซัดโค้งอย่างมัน พอนานหลายชั่วโมงเข้า น้าฉ่างก็โบกมือขอจอดข้างทาง เข้าโครงการ “ฝากอาหารมื้อกลางวันที่ท่านเพิ่งกินไว้กับธรรมชาติ” นั่นล่ะครับ

...

น้าฉ่างแกก็น่าสงสารตรงที่มีแต่สื่อมวลชนด้วยกันบูลลี่ที่แกแวะฝากของกับธรณี แต่ไม่ยักกะมีใครด่าบังเต้ยเลย พอน้าฉ่างหันมาทางผม ผมก็ยิ้มแบบให้กำลังใจ..แต่ก็ช่วยสื่อท่านอื่นบูลลี่น้าต่อนั่นล่ะครับ เอาล่ะนั่นคือเรื่องที่เราเล่นกันขำๆ แต่ในชีวิตจริงเรื่องเล่าระหว่างเราของบังเต้ยและน้าฉ่าง ทำให้ผมคิดได้ว่ายังไม่เคยเขียนเกี่ยวกับการขับรถเดินทางไกลไปกับผู้สูงอายุเลย ลำพังตัวเองก็พอมีประสบการณ์บ้าง อาศัยจากการที่คุณพ่อผมท่านก็อายุ 81 และคุณแม่ก็ 78 ขวบแล้ว แต่ก็ไปค้นเนื้อหาสาระเพิ่มเติมมาเขียนเล่าสู่กันฟัง โดยเฉพาะคุณผู้อ่านรุ่นหลานๆ วัยรุ่นใจร้อนชอบขับเร็ว จะได้เข้าใจคนแก่ๆ บ้างว่าบางทีพ่อแม่บ่นว่าเราขับเร็ว ไม่ใช่เพราะเขากลัวเราจะตายหรอก แต่เขากำลังทรมานกึ่งๆ จะตายเอา

เข้าเรื่องของเราดีกว่า อย่างแรกที่ต้องคำนึงถึงในการเดินทางก็คือ โรคประจำตัวของผู้สูงอายุที่คุณกำลังจะพาไปด้วยครับ

ซึ่งความรุนแรงของโรคคือสิ่งที่จะสร้างขอบเขตกำหนดว่าคุณจะไปที่ไหนได้หรือไม่ได้ สำหรับท่านที่มีผู้สูงวัยเป็นโรคประจำตัวประเภทคาดเดาเวลาเกิดไม่ได้ และยังเป็นโรคแบบที่พอเกิดแล้วต้องการยาหรือการรักษาแบบทันทีทันควัน เช่น โรคเกี่ยวกับระบบโลหิตหรือหัวใจ นอกจากจะต้องพกยาที่จำเป็นแบบขาดไม่ได้แล้ว เส้นทางที่เราจะไปนั้นก็ไม่ควรจะไกลจากโรงพยาบาลใหญ่ หรือโรงพยาบาลประจำจังหวัดเกิน 30 นาทีครับ พวกเส้นทางที่ทุรกันดาร เป็นถนนตามภูเขาแบบ 1 เลนไป 1 เลนกลับ เส้นทางที่เสี่ยงดินถล่มในหน้าฝน เส้นทางแบบที่ติดต่อขอความช่วยเหลือได้ยาก แบบนี้อย่าเสี่ยง อย่าคิดว่าเฮลิคอปเตอร์หรือหน่วยกู้ภัยจะเข้าถึงคุณได้ภายใน 30 นาทีในทุกเส้นทางครับ ยิ่งเป็นเขตที่เมฆหมอกเยอะ ยิ่งไม่เหมาะ

แต่ถ้าหากว่าไม่มีโรคประจำตัวประเภทความเสี่ยงสูง มีแต่โรคประเภทที่เป็นแล้วอาจจะมีอาการเจ็บ ปวด กระสับกระส่ายเฉยๆ แบบนี้ไม่นับ เราก็มาดูที่ข้อพิจารณาถัดมาก็คือ ผู้สูงอายุของท่านมีแนวโน้มจะเข้าห้องน้ำบ่อยแค่ไหน ถ้าต้องเข้าทุก 1 ชั่วโมง แถมไม่ยอมสวมผ้าอ้อมอีก แบบนั้นก็ต้องเลือกเส้นทางแบบที่เป็นเส้นทางท่องเที่ยวหลัก คืออาจจะออกไกลจากตัวเมือง จากความศิวิไลซ์ได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ควรเป็นเส้นทางแบบที่มีชุมชน มีร้านอาหารโผล่มาข้างทางทุกๆ 45-60 นาที แบบนั้นก็จะช่วยได้มาก แต่ถ้าพ่อแม่ใครน่ารัก ให้ใส่ผ้าอ้อมก็ยอมใส่ดีๆ ไม่ดราม่าหรืองัดมุกลูกทรพีมาด่าเราเล่น แบบนั้นปัญหาก็จะน้อยลง ผู้สูงวัยเพศชาย บางทีถึงแม้ไม่ยอมใส่ผ้าอ้อม ก็ยังสามารถพึ่งพาโถปัสสาวะพกพาคุณภาพสูงได้บ้าง กรุณาเลือกแบบที่มีฝาปิดแน่นหนาไม่หลุดง่าย และเมื่อจัดการธุระเสร็จ ต่อให้ฝาปิดแน่นหนา แต่ถ้าไม่ใช่แบบขันเกลียว ก็ควรเอาถุงพลาสติกครอบส่วนปากและรัดด้วยหนังยางสักรอบก็ดีครับ เพราะถ้าหกในรถก็เรื่องใหญ่แหละ

...

พูดถึงเรื่องของหกในรถแล้ว ก็ทำให้นึกขึ้นได้ว่ารถที่ให้ผู้สูงอายุนั่งบ่อยๆ ตรงไหนท่านนั่ง ตรงนั้นเราหาผ้าหุ้มเบาะแบบที่เป็นผ้าระบายความร้อนดีๆ ไม่อับเหงื่อ ไม่เอาพวกผ้าพลาสติกตันเอามาหุ้มหรือปูเบาะไว้หน่อย ตรงพื้นที่เป็นพรม เราใช้ผ้ายางแบบมีขอบตั้งขึ้น เอาแบบที่ถ้าน้ำหกแล้วไม่ซึมลงพรมจริงของรถ และไม่ไหลไปมาซ้ายขวาหาทางลงไปถึงตัวรถได้ แบบนี้ในกรณีที่เกิดการรั่วไหลของเหลวใดๆ ที่เป็นของเหลว Organic จากธรรมชาติที่มอบให้โดยผู้สูงวัยโดยไม่ได้ตั้งใจ แทนที่คุณจะต้องยกเบาะซักระหว่างทาง คุณก็แค่ถอดส่วนยางรองไปฉีดไปล้าง เป็นเรื่องง่ายขึ้นมา

ทิชชูเปียกไม่ผสมแอลกอฮอล์ ผ้าเช็ดทำความสะอาด น้ำดื่มบริสุทธิ์ ผ้าเย็น ยาดม ของจุกจิกเล็กน้อยๆ พวกนี้ มีพกไว้เป็นกระเป๋าคู่ขวัญวัยมันยุคสงครามโลก ก็ดีไม่ใช่น้อย ซึ่งของพวกนี้เราที่เป็นคนวัยยังเด็กยังหนุ่มสาวความจำดี ต้องช่วยกันทำ Checklist และเตรียมของให้สักหน่อย และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพยายามอย่าปล่อยให้ท่านคลาดสายตาครับ บางเคสที่ผมเจอคือ ปล่อยพ่ออายุ 87 ถือไม้เท้าเดินเข้าห้องน้ำคนเดียวในปั๊ม แล้วมันมีพวกคนที่ดูดบุหรี่แล้วชอบขากเสลดถุยไว้บนพื้นกระเบื้อง บางปั๊มนี่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเอาเขตสูบบุหรี่ไว้ตรงทางเข้าห้องน้ำเหมือนกัน แต่วันนั้นลุงแกเหยียบพลาดลื่นล้มแรงมาก แล้วน็อกคาที่ ผมกับพี่ๆ แถวนั้นพยายามช่วยกันติดต่อหน่วยพยาบาล พยายามตามหาว่าคุณพ่อท่านมากับใครหรือเปล่า ลุงแกไม่พกบัตรประจำตัวสักอย่าง ผมเลยต้องเปิดประตูตะโกนถามทุกร้าน กว่าจะเจอว่าลุงมากับลูกสาวก็นานอยู่ โชคดีว่าไม่นานหลังจากนั้นลุงก็ฟื้น แต่น่าจะเย็บ 8 เข็ม

...

เรื่องเข้าห้องน้ำนี่ก็เช่นกัน บางทีเรามีห้องน้ำดีๆ เข้า ก็ต้องตามไปประคบประหงม บางครั้งมันเกิดปวดเดี๋ยวนั้นทันควัน แล้วต้องแวะข้างทาง เดินลงไปในพุ่มหญ้า อันนี้ก็แนะนำว่าหากเป็นยามค่ำคืน ไฟฉายต้องมี และเราเองก็ควรพกพวกไม้ก้านยาวๆ ไว้ท้ายรถไว้เขี่ยพื้นดินพื้นหญ้า คุณรู้จักเพื่อนร่วมโลกมนุษย์เราที่ชื่อน่ารักว่างูกะปะกับงูแมวเซาไหมครับ? พวกนี้ร้ายทั้งคู่ เจ้ากะปะนี่เป็นงูพิษที่มีพิษทำลายระบบเลือด อย่างมากก็ตายอย่างร้ายก็ตัดอวัยวะ แล้วชื่อ กะ-ปะ นี่เพราะว่ามันกะที่จะปะทะกับเรา คนรุ่นปู่ชอบสอนว่าแหวกหญ้าให้งูตื่น เจ้ากะปะนี่ตื่นแล้วไม่หนีนะครับ ขดตัวรอฉกตลอด แล้วตัวมันสีน้ำตาลกลืนไปกับกองใบไม้แห้ง ตัวเล็กยาวแค่หนึ่งไม้บรรทัด เขี้ยวเรียวแหลม กัดทีไม่รู้ตัว รู้อีกทีคือขาบวมเป็นจ้ำ และงูกะปะมีแทบจะทุกที่ บางทีไปนอนตามรีสอร์ตตากอากาศ ถอดรองเท้าไว้นอกชาน กะปะมันก็นึกว่าเรามาสร้างโมเต็ลให้มัน ใครใส่รองเท้าไม่ดู ก็เดี้ยงครับ

ส่วนงูแมวเซาจะชอบทำเสียงลมเหมือนพ่อมันเป็น Blow-off valve รถแต่งซิ่งครับ แต่ไม่หนีคน และยังสามารถพุ่งฉกได้ไกลมาก คุณลองนึกตำแหน่งของจุดยุทธศาสตร์ทางการค้าขณะคุณยื่นปัสสาวะดูครับ น้องแมวเซาสามารถพุ่งตัวสวนทางน้ำขึ้นมากัดจุดนั้นได้ วิธีป้องกันคือ ไม่เดินทะเล่อทะล่าไปทั่ว เดินไปเฉพาะตรงที่ที่ตาเห็นว่าเป็นพื้นเรียบ ไม่มีอะไร รีบปล่อยส่วนเกินคืนธรรมชาติ แล้วไปตามทางของเรา

...

สำหรับคนเล่น Facebook ผมแนะนำให้ตามเพจ “นี่ตัวอะไร” กับ “งูไทยอะไรก็ได้” ตามสองเพจนี้ครับ แล้วคุณอาจจะได้ความรู้ที่จะปกป้องได้ตั้งแต่อวัยวะยันบุพการีเลยทีเดียว...เอ้า เดี๋ยวเรากลับไปเรื่องเดินทางกันต่อไหม ก่อนที่จะกลายร่างไปเป็นช่อง NatGEO

เรื่องการขับรถเดินทางกับคนสูงอายุ มีเรื่องที่คุณควรทราบคือ คนเรามีหู และในหูนั้นเปรียบได้ดั่ง Gyro หรือ ECU ที่ควบคุมระบบการทรงตัวของรถ ซึ่งรายงานข้อมูลตำแหน่ง แรงดึง แรงดัน ความเอียงของพื้นที่ต่างๆ ไปสู่ประสาทการรับรู้ของพวกวัยรุ่น และวัยทำงาน ECU ของคุณจูนมาดี คุณจึงไม่ค่อยแพ้อะไรง่ายๆ แต่สำหรับคนแก่ ให้ลองนึกภาพว่า ECU ประมวลผลก็ผิดๆ ถูกๆ แถม Input Sensor บางตัวก็พังอีกต่างหาก อย่างผมนี่เวลาขับรถเร็ว แล้วเริ่มเปลี่ยนเลนซ้ายขวามากกว่า 4 ครั้งต่อนาที พ่อผมก็จะเริ่มบ่นเวียนหัวแล้ว แล้วผมก็จะพาลงอนพ่อว่า ตอนพ่ออายุเท่าผม พ่อก็ขับเหมือนผมแหละ ผมมารู้ทีหลังว่าร่างกายของพ่อตอนแก่ก็ไม่ทนอะไรๆเท่าสมัยเขาอายุ 45-50

วิธีแก้ก็คือดราม่า...คือไม่ใช่ทะเลาะกับพ่อนะ แต่หาดราม่ามีน ยาแก้เมารถเมาเรือมาให้กิน พอกินแล้วก็จะรู้สึกผ่อนคลาย และกึ่มๆ เกือบหลับ ผมเลยมีไอเดียว่างั้นเอายานอนหลับให้พ่อกินเลยดีไหม มานึกได้ว่า ถ้าถึงงานแต่งงานที่นครนายกแล้วพ่อไม่ยอมตื่น ก็ลำบากลูกอีกแหละ ฉะนั้นก็กินแค่ยาแก้เมารถ 30 นาทีก่อนถึงจุดที่อาจเสี่ยงต่อการเมาแค่นั้นพอ

การเมารถนี่ในทางการแพทย์บางท่านก็อธิบายว่า มันมักจะเกิดจากสิ่งที่ ECU ของร่างกาย ประสาทการรับรู้แรงดึงซ้ายขวาหน้าหลังไม่สัมพันธ์กับสิ่งที่ตามองเห็น นี่คือสิ่งที่อธิบายว่าทำไมเวลาเราขับรถเอง เราจึงไม่เมา เพราะสิ่งที่หัวเราคิด คือการขับรถให้ไปตามเส้นทางที่ตาเราเห็น ร่างกายเราจึงมีการปรับตัวรับแรงดึงแรงเหวี่ยงโดยอัตโนมัติ ส่วนคนที่นั่งเบาะหน้า แล้วเห็นทั้งการขยับตัวของคนขับ และเส้นทางพร้อมๆ กัน บางทีก็สามารถเกร็งร่างกายรับไม่ให้เมารถได้ แต่ถ้าสมมติคุณนั่งเบาะหลังเที่ยวกับเพื่อน แล้วนาย LINE มาสั่งให้แก้งานส่งภายใน 10 นาที คุณนั่งทำงานบน Laptop ระหว่างที่เพื่อนขับรถบนเขา และแชต LINE ในมือถือไปด้วย นั่นแหละครับอาเจียนกิจจะบังเกิด เพราะตาเรากับแรงเหวี่ยงที่กระทำต่อร่างกายเราไม่สัมพันธ์กัน

แล้วผู้สูงอายุก็คือกลุ่มที่ทั้ง ECU ร่างกายก็ไม่สมบูรณ์ ประสาทตา การรับรู้ และการคิด ก็สู้พวกวัยสะรุ่นไม่ได้ การเกร็งร่างกายเพื่อรับสิ่งที่จะเกิดจึงช้าไป 1-2 ก้าวเสมอครับ คนสูงอายุจึงวิงเวียนศีรษะหน้ามืดตาลายได้ง่าย แม้ว่าหลานๆ จะคิดว่าหลานเองไม่ได้ขับเร็วก็ตาม

วิธีการขับแบบรับใช้ผู้สูงอายุ จึงต้องขับแบบเปลี่ยนทิศทางอย่างนุ่มนวล...อ่านดีๆ นะครับ ไม่ได้แปลว่าคุณต้องขับช้าจนเต่าด่าพ่อ คุณจะขับ 100-110 ก็ได้ แต่การเปลี่ยนเลน การเลี้ยวโค้ง ให้ทำแบบช้าๆ เพื่อลดแรงเหวี่ยงด้านข้าง การเพิ่มหรือลดความเร็ว ก็ให้ทำอย่างนุ่มนวล เพื่อลดแรงเหวี่ยงหน้า/หลัง คุณลองเอาน้ำมันมะกอกใส่ขวดใสๆแล้วเอาเทป 3 M แปะคอนโซลไว้ แล้วลองเปลี่ยนเลนหรือเลี้ยวรถดูครับ ถ้าน้ำมันมะกอกไม่กระฉอกไปมาได้ ก็ลองเปลี่ยนทิศทางให้น้ำมันในขวดนิ่งที่สุด แต่ไม่ต้องถึงขนาดเลี้ยงน้ำเปล่าในแก้วแบบ Initial D เพราะนั่นมันการ์ตูน ไม่ใช่โลกความจริง

ขับแบบนุ่มนวล เลี้ยวเลี้ยงๆ เปลี่ยนเลนให้ช้า เพิ่มความเร็วนุ่ม เบรกแบบเนียนๆ อย่าให้ชาวสูงวัยตัวโยกไปมา นั่นก็จะช่วยลดโอกาสการคายของเก่าบนรถโดยไม่ได้ตั้งใจได้ แต่อย่าลืมว่าถ้ามันจะหมายถึงชีวิต เช่น มอเตอร์ไซค์ตัดหน้า รถบรรทุกเบรกกะทันหัน แบบนั้นให้ลืมทุกความนุ่มนวล แล้วกระทืบเบรกได้เลย

นอกจากนี้ในเว็บไซต์สถาบันการแพทย์หลายแห่งยังแนะนำว่า มีวิธีที่จะทำให้ผู้สูงอายุเดินทางไกลในรถได้สบายตัวขึ้น เช่น ให้ท่านนั่งด้านหน้าเพื่อที่จะได้เห็นวิวต่างๆ ชัดเจน มีเป้าสายตาระยะไกล มีขอบฟ้าให้ใช้เป็นตัว “Calibrate ECU” ของร่างกายได้ง่าย จากนั้นก็มีแว่นกัดแดดแบบกัน UV แท้ๆ ดีๆ สักชุดให้ท่านใส่ ช่วยเป็นการถนอมสายตา เพิ่มความผ่อนคลายในการมอง ถ้าคุณไม่ทราบว่าจะหายี่ห้อไหนดี ผมแอบแนะนำแว่นยี่ห้อ Dita Lancier ครับ เลือกสีแบบที่ผู้สูงวัยอยากได้เอาตามใจชอบ เป็นแว่นขับรถที่ผมและสื่อมวลชนสูงวัยบางท่านแถวๆ นี้นิยมใช้กัน

ลูกอม ยาอม ที่ชุ่มคอชื่นใจ หมากหอมเยาวราช หรือยาอมโบตัน พวกนี้อมไประหว่างทางก็ช่วยให้ชาวสูงวัยรู้สึกผ่อนคลาย เช่นเดียวกับการดื่มน้ำอัดลม...ดื่มแบบแต่พอดีๆ นะครับ สองชั่วโมงดื่มสักกระป๋อง ช่วยขับลม ลดอาการแน่นท้อง อย่าถึงขนาดเสพขวดสองลิตรแบบน้าฉ่าง อันนั้นจะเยอะเกินไป ส่วนอาหารการกินในระหว่างเดินทาง ก็ควรกินแต่พอดี อย่ากินจนจุก และเลี่ยงอาหารประเภทมันจัด เลี่ยนจัด หวานจัด จะช่วยให้ร่างกายผู้สูงวัยรู้สึกมีพลัง และไม่เยอะเกินจนต้องส่งออกคืนกลับธรรมชาติข้างทางครับ

อีกสิ่งหนึ่งที่สามารถช่วยได้ก็คือ ชวนชาวสูงวัยคุย แต่อย่าคุยเรื่องที่มันตอบง่ายครับ เช่นถ้าเราไปถามว่า Baby Monster คนไหนน่ารักสุด พวกท่านอาจจะตอบว่า Ruka หรือ Pharita ซึ่งมันจะเป็นคำตอบที่พวกท่านมีในใจอยู่แล้ว คุณต้องชวนคุยเรื่องอดีตครับ ให้ท่านเล่าเรื่องสมัยวัยรุ่น สมัยเด็ก การเล่าเรื่องทำนองนี้มันจะมีจังหวะให้ท่านต้องหลับตาแล้วพยายามใช้สมองนึก เอา CPU 486DX2-66 รุ่นเก่าในหัวดึงข้อมูลออกมา ช่วงนี้โฟกัสท่านจะหลุดจากบนถนน และไปอยู่กับเรื่องในอดีตแทน มุกนี้น่ะผมใช้กับพ่อผมประจำ ทุกครั้งที่ขับรถไปบ้านเกิดพ่อที่นครนายก ผมจะแกล้งทำเป็นขอให้พ่อเล่าเรื่องผีที่พ่อเจอตอนวัยรุ่นที่นครนายกนั่นทุกครั้ง

ที่สำคัญคือ ถ้าการเดินทางนั้นยาวไกลมาก คุณหาจุดชมวิว หาร้านน่านั่ง ที่ที่บรรยากาศดี อากาศถ่ายเท และเสียงไม่อึกทึกคึกโครม ถ้าได้หยุดพักแบบนี้อย่างน้อยทุกสองชั่วโมง ให้ชาวสูงวัยเปลี่ยนอิริยาบถ ลงไปเดินเล่น ไปยืดเส้นยืดสายบ้าง ไปทะเลาะกับแมวข้างร้านบ้าง จะทำให้พวกท่านมีแรงฮึดที่จะเดินทางต่อได้ครับ

การขับรถพาผู้สูงวัยเที่ยวไม่ใช่เรื่องยาก เพียงแต่เราผู้ซึ่งเท้าไฟใจร้อนวัยยังไม่แก่ ต้องเข้าใจว่าอาการต่างๆ นานาที่มักเกิดเวลาผู้สูงอายุไม่สบายตัว บางครั้งมันไม่ใช่จริตว่าเรื่องมาก หรือทำสำออยใส่ลูกหลาน แต่มันเกิดจากสภาพร่างกายของชาวสูงวัยจริงๆ ที่มันบังคับให้เป็นอย่างนั้น ผมว่าไม่มีใครหรอกครับ จู่ๆ อยากแวะเข้าห้องน้ำ จู่ๆ อยากจะอาเจียน จู่ๆ อยากทำรถลูกรถหลานเลอะเทอะ ให้นึกถึงตอนเราเป็นเด็กเบบี้สิครับ ทำแก้วทำจานแตกไปกี่ใบ แม่ซักผ้าอ้อมให้วันละกี่ผืน การเป็นคนแก่ มันก็แค่การกลับใจไปเป็นเด็กในร่างที่ชราภาพนั่นล่ะครับ

ส่วนจะขับยังไงให้คนสูงวัยพิโรธโกรธานั้น ผมไม่เขียน ถ้าเรื่องนั้น น้าฉ่างบอกให้ไปถามบังเต้ย AutolifeThailand ดู ว่าวันนั้นแกขับยังไง ฮ่า ฮ่า ฮ่า

Pan Paitoonpong