คราวที่แล้วเราแบ่งความต่างระหว่างการเกาะโค้งและเรื่องเสถียรภาพบนทางตรงไปแล้ว สัปดาห์นี้มาเล่นกันต่ออีกหน่อยกับเรื่องช่วงล่างว่าทำไมมันจึงเป็นการยากที่จะมีช่วงล่างที่สามารถใช้งานครอบคลุมได้ตั้งแต่การวิ่งในชีวิตประจำวันยันสนาม และทำไมบริษัทรถถึงไม่ทำช่วงล่างให้ดีเลิศที่สุดมาจากโรงงานเลย รถบางค่าย ทำรุ่นที่ช่วงล่างดีๆ เป็น แต่บางรุ่นกลับก็ไม่ถูกใจ ทุกอย่างมีเหตุผลมาจากคำว่า “เงิน”

ครั้งที่แล้วเราคาบทความกันไว้กับตอนที่เล่าว่า ผมเคยทดสอบทำความเร็วสูงสุดแล้วพบว่าการปรับช่วงล่างไปในจุดที่มันแข็งกระด้างที่สุด กลับไม่ได้ให้ความรู้สึกที่มั่นคงเมื่อต้องใช้ความเร็วสูง เรื่องนี้จะเฉลยเลยก็ได้ว่า ช่วงล่างที่ปรับไว้แข็งมากๆ นั้น แม้จะให้ผลในด้านเสถียรภาพในแง่การยุบตัวของช่วงล่างที่น้อย แต่เราต้องไม่ลืมว่าถนนที่เราวิ่งนั้น ไม่ใช่สนาม Nardo Ring บางที่ที่เราไปวิ่งนั้น ต่อให้ได้ชื่อว่าเป็นทางด่วน แต่ผิวทางค่อนข้างขรุขระไม่สม่ำเสมอ การที่ช่วงล่างแข็งมากๆ จะกลับกลายเป็นการดีดตัวรถในแนวขึ้น/ลง มากโดยไม่จำเป็น

...

แล้วมันส่งผลกระทบยังไง? ส่งสิครับ ตราบใดที่คุณยังต้องจับพวงมาลัยด้วยมือ ต่อให้จับสองมือในแบบที่คุณคิดว่ามั่นแล้ว ลองเอา GoPro ติดในรถส่องไปที่พวงมาลัยแล้วลองขับบนถนนที่ไม่เรียบได้ คุณอาจได้เห็นว่ามือคุณขยับขึ้นลงเป็นนิ้วโดยที่ไม่รู้ตัว ซึ่งสำหรับรถวิ่งถนนทั่วไปที่ปรับอัตราทดพวงมาลัยมาเพื่อใช้งานก็คงไม่มีปัญหา แต่กับรถประเภท Performance Car หรือแม้แต่รถเก๋งบางรุ่นที่เซตพวงมาลัยมาไวมาก การที่รถดีดจนมือคลอนในระหว่างที่คุณวิ่งเลย 120 กม./ชม. มาไกลมากแล้วนั้น อาจให้อันตรายอย่างที่คุณคาดไม่ถึง ในจังหวะที่คุณคาดไม่ถึง เรื่องนี้จริงๆ ผมไม่ควรเล่าเพราะรู้กันว่าเกิน 120 ก็ได้ใบสั่ง แต่ในความจริงผมเคยเป็นวัยรุ่น และรู้สไตล์การแต่งรถของบางท่านที่ขับเร็วมาก และเชื่อว่าช่วงล่างแข็งกว่าย่อมดีกว่า เห็นแล้วเป็นห่วงโดยที่รู้ว่าห้ามไม่ให้ขับเร็วก็คงไม่เชื่อกัน อย่างน้อยก็ขอเสือใส่เกือกเรื่องการขับแล้วกัน

จากเรื่องนี้ เราจะส่งต่อไปถึงเรื่องการเซตช่วงล่าง ซึ่งต้องมีความแตกต่างกันสำหรับการใช้งานในแต่ละแบบ ไม่มีแบบไหนที่สามารถตอบสนองความพึงพอใจในการใช้งานได้บนถนนทุกแบบหรือทุกระดับความเร็ว เพราะผู้อ่านบางคนสงสัยว่า ทำไมบริษัทรถบางค่ายกั๊กเรื่องช่วงล่างเป็นบ้า ทำไมไม่ทำให้ดีตั้งแต่แรก ทำไมบางค่ายทำรถช่วงล่างเดิมๆ สามารถขับในสนามแล้วสนุก แต่บางค่ายทำออกมาขับบนถนนยังรู้สึกไม่มั่นคง ออกแนวนุ่มย้วยเสียด้วยซ้ำไป

...

ก่อนอื่น ทุกท่านควรจำเอาไว้นะครับว่า เป้าหมายของบริษัทมหาชนทุกบริษัทที่ต้องมีทุน นั่นก็คือการสร้างกำไรให้บริษัทและสร้างผลตอบแทนที่ดีในสายตาผู้ถือหุ้น บริษัทรถยนต์ก็เช่นกัน นี่คือสิ่งที่เหมือนเรื่องบนเตียงของคุณกับแฟน คือมันเล่าได้ในวงแคบ แม้เป็นเรื่องปกติแต่ไม่มีใครออกมาประกาศในที่สาธารณะ เว้นเสียแต่ว่าคุณน่ะบ้า บริษัทรถก็อยู่ในกฎเหล่านี้เช่นกัน มันไม่มีหรอกครับบริษัทฮีโร่รักลูกค้า ให้คุณมากกว่าคู่แข่ง ถูกกว่าคู่แข่งแล้วไม่แอบเอาอะไรไปจากคุณเลย

...

ซึ่งเรื่องนี้เชื่อมโยงกับช่วงล่างตรงที่ว่า ช่วงล่างไม่ได้เสกมาโดยมหาเทพซุส แต่มาจากเงินนี่ล่ะครับ การที่ Project รถคันหนึ่งจะประสบความสำเร็จแค่ไหนในสายตา CFO บริษัท ไม่ได้มาจากคำชมของสื่อ คำสรรเสริญของผู้ใช้หรือ io แต่มาจากการเทียบว่าลงทุนไปกี่บาทแล้วได้เป็นกำไรกลับมาเท่าไร ไม่ใช่ว่าเขาใจร้ายแต่มันคือเหตุผลที่องค์กรจ้างเขามาครับ การสร้างรถสักรุ่นให้ออกมาแล้วช่วงล่างดีแบบคนชมเยอะๆ บริษัทรถต้องลงทุนในเรื่องการวิจัยพัฒนา ไม่ใช่แค่ว่าสปริงดี โช้คอัพดีแล้วจบนะครับ ช่วงล่างขยับขึ้นลงท่าไหน เวลาเลี้ยวแรงๆ ล้อทำมุมกับถนนยังไง จะวางตำแหน่งบุชยางแนวนอนหรือตั้ง หรือสิ่งที่เรียกว่าความถี่ธรรมชาติ การตอบสนองของวัสดุต่อความถี่ของแรงสั่นสะเทือนที่ความเร็วต่างๆ เรื่องพวกนี้บริษัทรถต้องวิจัยกันเป็นพันล้านดอลลาร์เพื่อให้ได้รถที่ขับแล้วคนส่วนมากชื่นชอบ

...

แล้วไอ้คำว่าคนส่วนมากนี่ ก็ต้องดูด้วยว่ากลุ่มลูกค้าที่เขาจะไปขายน่ะ “Appreciate” หรือชื่นชมรับรู้คุณค่าในเรื่องช่วงล่างนี่มากแค่ไหน ในรถราคาแพงๆ หลายล้านบาท อิสระในเรื่องการขอทุนไปวิจัยช่วงล่างมันเยอะเพราะแบรนด์พรีเมียมทั้งหลายบวกเผื่อเอาไว้เยอะอยู่แล้ว แต่หากเรามองไปที่รถระดับราคาหลักแสน การใช้เงินพันล้านโปรยไปกับการนิมิตช่วงล่างที่ลูกค้าเท้าหนักขับแล้วยิ้ม ก็เป็นเรื่องที่เสี่ยง จะลงทุนเยอะทำไมถ้าลูกค้าไม่รับรู้ถึงข้อดีนั้นหรือไม่ได้ใช้ข้อดีนั้น รถใช้งานทั่วไปน่ะ ชาวบ้านชาวช่องมักขอแค่ขับไปตรงๆ แล้วไม่รู้สึกส่ายโคลงที่ความเร็ว 120 วิ่งบนถนนพระราม 3 แล้วไส้ไม่แตกก็พอ สำหรับคนใช้รถส่วนใหญ่ เขาขอแค่รถที่ขับแบบปกติแล้วไม่เหนื่อย และถ้าได้ช่วงล่างที่ทนทาน ค่าบำรุงรักษาต่ำ เรื่องนี้มีความสำคัญมากกว่าการขับซัดโค้งบนเขาชนะรถตู้เจ้าถิ่นเยอะ

นั่นล่ะครับคือสาเหตุที่ว่าทำไมรถหลักแสนหลายรุ่นจึงทยอยเปลี่ยนช่วงล่างหลังจากแบบอิสระที่ลูกหมากลูกยางเยอะ ให้เป็นแบบคานบิดที่ล้อซ้ายและขวาต่ออยู่บนเหล็กชิ้นเดียวกัน ซึ่งช่วงล่างแบบนี้ก็มักทนและซ่อมถูกจริง และด้วยวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการวิจัยรถในยุคหลังๆ มานี้ รถช่วงล่างคานบิดหลายคันก็ให้สมรรถนะในโค้งและทางตรงใกล้เคียงรถช่วงล่างหลังอิสระในสมัยก่อน แต่ต้องไม่ลืมว่าความรู้สึกแน่นมั่นใจเวลาขับในรถจ่ายกับข้าวยุคใหม่ก็มาจากการพัฒนาบอดี้หลักของตัวรถที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเช่นกัน ไม่ใช่ว่าแปลงช่วงล่างหลังเป็นคานแล้ววิจัยแค่ช่วงล่างจนชนะแบบอิสระได้

ถ้าคุณคิดว่าช่วงล่างดีแบบที่นักรีวิวชม ทำให้รถขายดี ลองเปิดตารางสรุปยอดขายรถแต่ละเดือนของ AutolifeThailand.tv ดูได้ครับ รถที่ขายดี ขายได้เยอะ ไม่ใช่รถที่ช่วงล่างดีสุดในคลาสนะส่วนใหญ่น่ะ เมื่อเห็นภาพรวมแบบนี้ ถ้าคุณเป็นบริษัทผู้ผลิตรถที่จะไปขายในราคา 9 แสนลงมา คุณจะอยากวิจัยสักร้อยสองร้อยล้านบาทเพื่อของดีที่ลูกค้าไม่ได้ชมไหมล่ะครับ

และขนาดว่าในกลุ่มที่เป็นรถราคาหลักแสน หรือเอาอย่างกลุ่มรถกระบะนี่ล่ะ ช่วงล่างของกระบะเจ้าตลาดในรุ่นที่ไม่ใช่รุ่นพิเศษมักจะเป็นแบบที่ต้นทุนถูก เพราะลูกค้ากลุ่มนี้ขายรถแพงมากไม่ได้ กระนั้น เมื่อลองขับคุณจะเห็นได้ว่าบางทีแค่การตั้งจุดประสงค์การใช้งานให้ไปรองรับอรรถประโยชน์ต่างกัน ก็ส่งผลถึงนิสัยของช่วงล่างแล้ว คุณเคยลองขับ Hilux Revo ตัวเตี้ยแล้วรู้สึกไหมครับว่า เวลาวิ่งตัวเปล่าไม่บรรทุกข้างหลัง รถโคตรเด้งเป็นลูกชิ้นปลานายใบ้ ในขณะที่ Isuzu D-Max วิ่งตัวเปล่า สบายกว่า สะเทือนน้อยกว่า เลี้ยวดีกว่า ไม่ใช่วิศวกร Toyota ทำช่วงล่างดีๆ ไม่เป็นครับ แต่เพราะเขาตั้งใจให้ช่วงล่างเดิมบรรทุกน้ำหนักได้มากกว่าคู่แข่ง การเซตรถให้รับน้ำหนักบรรทุกมาก เวลาวิ่งตัวเปล่า ช่วงล่างก็ย่อมดีดเด้ง แต่ลองเอาอะไรไปถ่วงท้ายสัก 400 กิโลกรัมดูสิครับ Revo ขับดีขึ้นทันตาเห็น เลี้ยวโค้งดีขึ้นด้วย

ที่พูดนี่ก็แค่จะบอกว่า ในรถที่ไม่ได้ราคาสูง ผู้ผลิตไม่สามารถทำช่วงล่าง Adaptive โช้คไฟฟ้าหรือถุงลมใส่ให้ได้ คนตั้งสเปกรถก็จำเป็นต้องเลือกว่าจะให้รถรุ่นนั้นมีช่วงล่างที่ตอบสนองดีที่สุดต่อการใช้งานแบบใด ไม่ได้แปลว่าวิศวกรขาดความรู้ในการทำช่วงล่างครับ แต่บางทีก็งงหน่อย อย่างตอน Revo เปิดตัวใหม่ๆ ผมลองขับรุ่น 4 ประตูยกสูงแล้วรู้สึกว่าช่วงล่างแข็งเด้งเกินไป ทางอาจารย์ที่เป็นหัวหน้าทีมวิศวะก็แจ้งว่า มันแข็งเพราะต้องทำมารองรับการบรรทุกหนัก ผมก็แย้งกลับไปกวนอาจารย์ท่านว่า นี่มันกระบะ 4 ประตูนะอาจารย์ ใครจะเอามาบรรทุกจริงจังขนาดนั้น แล้วต่อมา คุณก็จะเห็นได้ว่าหลังไมเนอร์เชนจ์ปี 2020 พวก Revo ยกสูงปรับปรุงช่วงล่างหลังพยายามให้นุ่มนวลขึ้น แม้แต่ในรุ่น 4 ประตูตัวเตี้ย ณ จุดหนึ่งก็ถูกเปลี่ยนแหนบให้โค้งน้อยลง ขับแบบรถเปล่าแล้วสบายหลังสบายก้นขึ้น เขาไม่ได้ปรับเพราะผมพูดหรอกครับ แต่เดาว่าลูกค้าหลายคนน่าจะมีความคิดแบบเดียวกับผม เพราะผมเชื่อว่า Toyota เชื่อลูกค้าตัวเองมากกว่านักรีวิวกวนจริตอย่างผม

ทีนี้ เราทราบเงื่อนไขและความจำเป็นของบริษัทรถว่าทำไม ช่วงล่างบางรุ่นมันถึงไม่ค่อยถูกใจผู้บริโภคสายขับ ก็ด้วยเหตุนี้ แต่เมื่อต้นทุนเริ่มมา..หรือเริ่มชาร์จราคาแพงได้ในกรณีเป็นพวกรุ่นย่อยแพงๆ หรือพิเศษหน่อย คุณก็จะเห็นว่าบริษัทรถบริษัทเดิมนี่ล่ะก็สามารถเสกอะไรให้คุณเพิ่มได้ ขออนุญาตพาดพิง Toyota อีกครั้งแล้วกันเพราะรถท่านมีหลายรุ่นและมีลูกค้าหลายแบบ คุณลองไปหา Toyota Fortuner รุ่น 2.4 ลิตร LEADER มาลองขับดูนะครับ เน้นว่าลองขับผ่านถนนที่ขรุขระ จัมป์คอสะพานพองาม เสร็จแล้วให้ไปลองขับรุ่น 2.8 GR Sport ดู นั่นล่ะครับคือความต่างที่เกิดจากเงินที่ชาร์จเพิ่มได้จากค่าตัวรถ แล้วช่วงล่างส่วนหลักที่เป็นเหล็กกับลูกยางคือ เกือบจะเหมือนกันหมด ไปต่างที่โช้คอัพ สปริง เหล็กกันโคลง ซึ่งนี่ล่ะครับคือความสามารถจริงของค่ายนี้ถ้าตั้งใจจะทำช่วงล่างให้มันดีออกมาจากโรงงาน

ต่อมา เมื่อเราเข้าใจแล้วว่าช่วงล่างเพียงหนึ่งเดียว ไม่สามารถทำให้ทุกคนพอใจได้ แต่ถ้าถามว่า แล้วถ้าหากเราพยายามจะทำล่ะ มันสามารถเป็นไปได้แค่ไหน ในงบประมาณจากน้อย ไล่ไปหามาก

อันดับแรก เรามองไปที่รถบ้านวิ่งถนนหลวงกันก่อน ความพยายามที่จะทำให้รถวิ่งใช้งานบนถนนพระรามสามแล้วไส้ไม่แตก แต่ซัดโค้งเล่นไปน่านแล้วสนุก โดยที่งบไม่บานปลายนั้น บริษัทรถมักจะใช้โช้คอัพแบบที่ออกแบบมาให้แปรผันความหนืดของโช้คได้ โช้คอัพเหล่านี้ จะมีชื่อเรียกอย่างไรก็ตามแต่ ก็จะมีกลไกแบบที่ทำให้ เวลาเจอการสะเทือนแบบสั้นๆ ถี่ๆ ช่วงล่างยุบไม่เยอะ เช่นการวิ่งบนถนนปูนตามหมู่บ้านเก่าหรือถนนลูกรัง วาล์วในโช้คจะเปิดกว้างให้น้ำมันไหลไปมาได้ง่าย ทำให้ตัวโช้คอัพยุบตัวได้ง่าย ซับแรงสะเทือนเอาไว้ได้เยอะ แต่ยิ่งเมื่อโช้คอัพยุบตัวลงมาก กลไกภายในก็จะบีบวาล์วให้เล็กจนน้ำมันโช้คไหลผ่านยาก พอไหลยากก็ยุบยาก สิ่งที่ได้ก็ทำให้รถซับแรงสะเทือนได้ดี แต่พอทิ้งโค้งหนักๆ ก็จะมีแรงยันสู้ ให้ความมั่นใจได้มากขึ้น เรื่องนี้ไม่ใช่ของแปลกใหม่ครับ โช้ค Monroe SensaTrac ที่ขายมา 20 ปีก็หลักการนี้ โช้คอัพเดิมๆ ติดรถใน BMW F30 3 Series และ Mercedes-Benz C-Class รุ่นเริ่มต้นก็เป็นแบบนี้

ปัญหาของมันก็คือ ท้ายสุดเมื่อเราซัดโค้งกันโหดจริง สปริงซึ่งเป็นตัวแบกน้ำหนักรถหลักก็ไม่ได้สามารถแปรผันความนุ่มทั้งขายุบและขายืดได้แบบโช้คอัพ สปริงที่ดีพอสำหรับการซัดโค้งโหดๆ ก็จะเลวเกินต่อการใช้ขับบนถนนขรุขระของกรุงเทพมหานคร และข้อต่อมาคือโช้คอัพเหล่านี้จะปรับตัวมันตามแรงที่มากระทำต่อตัวกระบอกโช้ค และคนขับไม่สามารถสั่งให้นุ่มหรือแข็งตามใจได้ มันจึงไม่สามารถตอบสนองต่อบางสถานการณ์ได้ทัน

ต่อมาพวกรถสมรรถนะสูงหน่อย ก็เลยมีระบบไฟฟ้าควบคุมความหนืดของโช้คอัพ ซึ่งมีตั้งแต่แบบเบสิก ปรับนุ่มแข็งได้ด้วยสวิตช์ในรถ หรือแบบที่สามารถนำข้อมูลส่วนอื่นจากตัวรถมาปรับการทำงานของโช้คอัพได้ อย่างเช่น Nissan Cefiro A31 สเปกไทยที่ขายตั้งแต่ปี 1990-1994 นั้น มีระบบช่วงล่างแบบ DUET-SS ที่ใช้คลื่นโซนาร์อ่านสภาพถนนแล้วนำข้อมูลมาปรับความแข็งให้ช่วงล่างได้ หรือรถใหม่ๆ อย่าง AMG หรือ BMW บางรุ่น ใช้ข้อมูลจากความเร็วของรถ ลักษณะการหักพวงมาลัย แรงดึง G-Force ทั้งแนวซ้ายขวาและหน้าหลัง ถ้าเจอช่วงล่างรถคันไหนที่มีโหมด Adaptive นั่นล่ะครับคือมีโช้คไฟฟ้าแสนกลพวกนี้ แต่มันจะติดตรงที่ว่า ตราบใดก็ตามที่ตัวรับน้ำหนักรถยังเป็นสปริงเหล็ก อุปนิสัยของช่วงล่างก็มีแนวโน้มที่จะเป็นไปตามสปริง เช่นใน Civic Type-R FL5 ต่อให้คุณปรับไปนุ่มสุด แต่สปริงติดรถมาทำเผื่อขับในสนาม รถก็จะมีความนุ่มแค่พอให้แฟนนั่งแล้วไม่บ่น แต่มันจะไม่มีทางนุ่มเหมือนรถผู้บริหารนั่งอย่าง BMW 530e G30 M Sport และอย่าง 530e เวลาเทโค้งแรงจริงๆ ยังไงก็ยังมีอาการยวบอยู่ดี

อธิบายแค่นี้ คุณจะเห็นภาพแล้วว่า การพยายามทำรถสักคันให้มีช่วงล่างที่ทุกคนนั่งแล้วจะชอบ ทุกคนขับแล้วจะยิ้ม ไปที่ไหนก็ทำหน้าที่ตามความต้องการของเจ้าของรถได้ดีนั้น มันต้องใช้เงินเยอะ ทั้งเงินลงทุนวิจัย ไปจนถึงค่าวัสดุ

อันที่จริงรถที่ใช้สปริง กับโช้คอัพแบบปรับความหนืดตามสถานการณ์ได้แล้วยังขับดีและนุ่มในการใช้งานได้ด้วยก็มีนะครับ มันคือ McLaren 720S แต่ระบบช่วงล่างของรถราคาหลายสิบล้านคันนี้ ไม่ได้ธรรมดานะครับ เพราะระบบ Proactive Control ของเขานั้น มีวาล์วให้น้ำมันไหลข้ามกันระหว่างช่วงล่างด้านซ้ายและขวา หน้าและหลัง จะเทโค้ง จะเร่ง หรือเบรก น้ำหนักไปลงที่ด้านไหนเยอะ ก็อัดน้ำมันไปยันสู้ที่ด้านนั้น และทำงานด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์กับปั๊มที่สามารถปรับความแข็งของช่วงล่างได้ภายในเวลาเสี้ยววินาที ผมเคยลองขับมาแล้วครับ ระบบนี้ดีจริง คือนุ่มตามจำเป็น ไม่ดีดดิ้น เทโค้งแล้วรถไปแบบแบนๆ ไม่โย้เลย เวลาปีนขอบทางสนามแข่ง รถก็เสียอาการน้อย เหมือนรถมันมีตาเห็นว่าเราจะไปที่ไหน แต่จริงๆ มันไม่มี ทุกอย่างที่ 720S ทำคือการสนองต่อสิ่งที่มากระทำ นี่ล่ะครับคือความไวของเทคโนโลยีช่วงล่าง..ที่อยู่มาบนโลก 7 ปีแล้วครับ

ถ้าจะให้รถขับได้ทุกสภาวะ คงต้องเป็นแบบนี้ และยิ่งถ้าต้องปรับความสูงของช่วงล่างได้ด้วยแล้ว ก็ต้องมีชุดถุงลมไฮดรอลิก ซึ่งคนใช้รถหรูในยุคนี้บอกว่าต้องมี คนที่เคยใช้จนจ่ายค่าซ่อมมาแล้วก็ยิ้มกันเหงือกแห้ง ลองนึกดูครับว่า ระบบต่างๆ เหล่านี้ที่ใส่มาเพื่อที่จะให้ได้ช่วงล่างในอุดมคติสำหรับทุกคนนั้น แพงตั้งแต่ตอนวิจัยพัฒนา แพงตอนจัดหามาประกอบใส่รถ และยังจะแพงต่อไปอีกเมื่อถึงเวลาซ่อมบำรุง

เทคโนโลยีเหล่านี้ เลยมีแต่คนที่มีเงินพอจะซื้อรถราคาหลายสิบล้านได้สัมผัส แต่สำหรับเราๆ ท่านๆ ส่วนใหญ่นั้น คุณยังต้องเลือกอยู่ว่า จะเซตช่วงล่างให้เหมาะกับการใช้งานแบบใด แล้วยอมรับเวลาช่วงล่างมันไม่สามารถตอบสนองเราได้ในบางสถานการณ์ที่เราไม่ได้เผื่อไว้ เช่นคนขับรถกระบะอย่างผม เคยขับรถกระบะเดิมโรงงานมาเกือบครบทุกรุ่น เคยขับกระบะที่ทำช่วงล่างดีชนิดวิ่งไล่ล่ารถเก๋งในสนามแข่งได้สบายมาแล้ว แต่เมื่อถึงเวลาต้องปรับแต่งช่วงล่างรถตัวเอง ผมก็ต้องยอมให้มันเลี้ยวโค้งแล้วเทบ้าง เพื่อแลกกับความสบายเวลาขับใช้งานในชีวิตประจำวัน ผมแค่สั่งทำโช้คอัพให้มีความหนืดมากกว่าของโรงงาน เพื่อให้รถวิ่งขับทางไกลแล้วนิ่งขึ้น ดีดดิ้นน้อยลง

นี่ล่ะครับ ถ้าเงินไม่ได้หนา เราต้องเลือก บริษัทรถที่ทำรถมาขายเรา ก็ต้องเลือกทำรถไปในทางใดทางหนึ่ง แทบไม่ต่างอะไรกับเรา ใครทำมาแบบไหน นิสัยถูกใจใคร ก็วิจารณ์กันได้แบบพอหอมปากหอมคอ ไม่จำเป็นต้องด่ากันแบบกดหัวจมเลน ส่วนคนที่อยากใช้ช่วงล่างเทพๆ แต่ทำไม่ได้เพราะเงินไม่พอนั้น มีวิธีปลอบใจครับ ลองไปถามคนที่ใช้รถยุโรปหลักสิบล้านดูว่าบิลค่าซ่อมกี่บาท หรือชาวกระบะ ลองนั่ง Ford Raptor แล้วชอบโช้คอัพ Fox ก็ลองถามค่าโช้ค และถามค่าโอเวอร์ฮอลดูในหมู่คนที่ใช้ครับ แล้วถามตัวเองว่าเราอยากจะหาเงินขนาดนั้นมาเลี้ยงดูรถเราไหม ถ้าไม่ ก็ขอให้มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่เถอะ ถ้ามันไม่ได้ทำให้เราเป็นบ้าตาย

Pan Paitoonpong