สารภาพอย่างแรกก่อนเลยว่า ที่ผมต้องใช้คำว่า “ลูกสาว” ในหัวบทความเพราะคิดว่าคนน่าจะคลิกอ่านมากกว่าคำว่า “น้องสาว” หรือ “หลานสาว” ตัวผมเองไม่มีลูกสาวหรอกครับ ไม่ใช่เพราะอะไรสักอย่างในร่างกายมันผิดปกติ ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของมันได้ แต่เพราะผู้สาวดีๆ ส่วนมากเขารู้ดีว่าคนแบบไหนน่าจะเป็นพ่อที่ดีได้ ซึ่งแน่นอนว่าผมไม่ใช่คนแบบนั้น กระนั้นก็เถอะ คนนิสัยลิงบาบูนแบบผม มีรุ่นน้อง มีรุ่นหลานที่รู้จักกันหลายคน และบางครั้งเวลานั่งรถที่พวกหลานๆ ขับแล้ว น้าก็ได้แต่ครุ่นคิดว่าระหว่างจุดหมายกับชาติหน้า อะไรมันจะมาถึงตัวน้าก่อน

เชื่อเถอะว่า การขับรถเร็วไม่ใช่สิ่งที่น้ากลัวหรอก แต่ถ้าขับแล้วไม่มองทาง ขับแล้วควักมือถือมาดูตอนรถกำลังวิ่ง หรือเปลี่ยนเลนโดยไม่เช็กกระจกมองหลัง หรือขับไปหันมาคุยกับเบาะข้างๆ ตลอดเวลา ทั้งหมดนี้ต่อให้เกิดที่ความเร็วแค่ 60 กม./ชม. น้าเองก็ขี้หดตดหายอยากจะขอให้หลานมานั่งแล้วให้น้าขับเสียยังดีกว่า ด้วยประสบการณ์ที่เจอมา ประกอบกับการที่เราจะมีลูกสาวหลานสาววัยสดใสที่กำลังจะได้รถคันแรกอีกเยอะ เลยอยากเขียนเผื่อหนูๆ จะอ่านบ้าง

...

บทความต่อไปนี้ ไม่ใช่บทความสอนให้ขับรถเป็น ไม่ใช่คัมภีร์สู่ความเป็นเซียนแต่อย่างใด เป็นแค่สิ่งที่เราอยากบอกพวกหนูไว้ แต่ถ้าหนูคิดว่าหนูขับรถเก่งเท่ามิแชล มูตงอยู่แล้วก็ไม่ต้องเสียเวลาอ่านหรอกหนา ทุกอย่างมาจากความปรารถนาดีจากพี่สู่น้อง หรือจากน้าสู่หลานเท่านั้นเลยจ้า

****ขับรถเมื่อร่างกายพร้อมที่จะขับเท่านั้น****

ยุคนี้ การทำงานคือการแข่งขันกันทำงานใหญ่ให้เสร็จภายในเวลาที่โคตรท้าทาย ไม่ว่าหลานๆ จะเป็นวัยเล่าเรียนหรือวัยทำงาน ผู้ใหญ่ชอบพูดว่าเด็กสมัยนี้สบายนะ มีเทคโนโลยีช่วยเหลือเยอะแยะ แต่เปล่าเลย เมื่อเทคโนโลยีทุกอย่างที่ว่านั้น ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ เด็กสมัยนี้จึงต้องแข่งกันด้วยเวลาหนักกว่าสมัยน้าเยอะ ส่งผลให้สุขภาพร่างกายอ่อนแอ พักผ่อนไม่เพียงพอ และเมื่อไปอยู่หลังพวงมาลัย ก็มีความเสี่ยงต่อการ “หลับใน” ระหว่างขับรถ

การหลับใน...พูดแล้วนึกว่าตามันหลับ แต่จริงๆ ไม่ได้หลับนะลูก ตาเรายังเปิดค้าง แต่สมองเราไม่ได้รับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นข้างหน้าเราแม้แต่น้อย ดังนั้นการหลับใน จึงมีค่าเท่าพวกเมาแล้วง่วงหลับ การขาดสมาธิไปสัก 10 วินาที แม้วิ่งด้วยความเร็วแค่ 90 กม./ชม. รถเราก็เคลื่อนไปมากกว่าร้อยเมตรแล้ว และการชนที่ความเร็วระดับนี้ตรงๆ โอกาสรอดน่ะยาก อยากให้หลานๆ ลองค้นคลิป Crast Test ใน YouTube ดู เห็นหน้ารถยู่ยับ นั่นคือความเร็วประมาณ 60 เท่านั้นนะ ถ้า 90 หรือ 120 นี่ไม่ต้องพูดกัน

ถ้าหลานๆ ขับรถแล้วเริ่มรู้สึกว่า จำไม่ได้ว่าเมื่อ 5 นาทีที่ผ่านมานั้นเกิดอะไรขึ้นรอบตัว หรือเริ่มรู้สึกว่า เอ๊ะ ทำไมตรูมานั่งอยู่ในรถตรงนั้น นั่นละครับคือสัญญาณว่าผ่านการหลับในมาแล้วชั่วขณะ ยิ่งถ้าเริ่มหาวบ่อย หนักหน้าผากนี่ใช่เลย ถ้าเป็นไปได้ ให้หาที่ที่ปลอดภัย ไม่มีรถบรรทุกวิ่งเฉี่ยว เอาที่ที่ไม่เปลี่ยว จอดนอนมันเลยสักงีบ อย่าจอดสตาร์ตรถเปิดแอร์นอนเว้นเสียแต่ว่ารถหลานเป็น EV เพราะไม่เช่นนั้น รอดจากหลับในก็จะมาตายเพราะรมก๊าซพิษตัวเองเอาได้ โดยปกติตามสถิติของกรมทางหลวง อุบัติเหตุหลับในนี่ มักเกิดบ่อยสุดช่วงเที่ยงคืนถึงตีสี่ ถ้าใครเลิกงานแล้วกลับบ้านในช่วงเวลานี้บ่อยๆ ยิ่งต้องระวังนะครับ ถ้าหลานทำงานในออฟฟิศ ก็เป็นไอเดียไม่เลวถ้าจะพกหมอน ผ้าห่ม กับเสื้อผ้าสำรองไว้กับตัว บางทีทำงานเหนื่อยมาก เค้งนอนไปบนโซฟาออฟฟิศให้นายด่า ดีกว่าไปหลับในแล้วชนคนอื่นตายจ้ะ

****ขับรถเมื่อจิตใจพร้อมที่จะขับเท่านั้น****

พ่อด่า แม่ว่า นายงอน ทะเลาะกับแฟน แมวที่บ้านไม่คุยด้วย หรืออะไรก็ตามแต่ เมื่อนั่งหลังพวงมาลัยแล้ว สติ ความยั้งคิด และความสามารถในการบังคับควบคุมรถ จะต้องพร้อมรับทุกงานเสมอ บ่อยครั้งที่อารมณ์โกรธ โมโห สามารถทำให้นางฟ้ากลายเป็นมารร้ายได้อย่างง่ายดาย น้าเคยเห็นหลานสาวสวยๆ หลายคน เวลาอารมณ์ดีหรือปกติ ก็ขับรถน่ารัก ทำตามกฎจราจรทุกอย่าง แต่เจอความกวนส้นของแฟนตัวเองเข้าไป วิญญาณนักแข่งฟอร์มูล่าวันจะถูกซัมม่อนจากสวรรค์มาสู่เท้าคุณหลานทันที มาตรวัดรอบขีดแดงอยู่เท่าไร พี่ลากทะลุหมด เวลาพวกหลานที่นิสัยดีแล้วจู่ๆ ขับเป็นผีป่าสิงน่ะ อันตรายนะ เพราะปกติเราไม่คุ้นเคยกับการขับรถโหดขนาดนั้น เราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าขับแบบไหนแล้วรถจะหลุดจากการควบคุม แล้วพอไปเกิดอุบัติเหตุขึ้น..คือคุณต้องมาเห็นจริงๆ ว่าผู้หญิงตอนโมโหสามารถพูด หรือทำอะไรได้บ้าง แม้ว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายผิด (บางคนทราบดีและเจอบ่อย)

...

แล้วสมัยนี้ กล้องมือถือ กล้องหน้ารถ คมชัด ใช้ง่าย ถ่ายดีทั้งนั้น เราอยากไปเป็นดาราลง TikTok ขนาดนั้นเลยหรือเปล่า

ถ้าอยู่ในสภาพที่โมโห หรือเครียดมาก แล้วไม่สามารถโทรเรียกเพื่อนสนิท หรือพี่น้องมาช่วยขับรถให้ได้ น้าขอแค่อย่างเดียวว่า จอดรถตรงที่มันปลอดภัยนะ แล้วซื้อเครื่องดื่มเหล่านี้กิน ดาร์กช็อกโกแลตเย็นๆ...น้ำผักผลไม้สดปั่น...น้ำมะพร้าวปั่น...ชาเขียว..ชาคาโมมายล์ พวกนี้มีคุณสมบัติในการช่วยลดความเครียดครับ เลือกมาสักอย่างนะ ไม่ใช่เล่นดื่มหมดทุกอย่างที่บอก เดี๋ยวปวดท้องหนักขึ้นมาจะยิ่งขับเร็วกว่าตอนโมโหแฟน และในระหว่างที่สั่งเครื่องดื่มรอ นั่งดื่ม ก็หาเหยื่อ (เพื่อนสนิท) โทรไปหา ใครมันทำเราโมโห ก็ด่ามันให้เขาฟังไปครับ จุดประสงค์คือทำยังไงก็ได้ ให้เรามีเวลาคลายความหัวร้อน ..ทะเลาะกับแฟนแล้วไปขับรถทันที กับทะเลาะเสร็จแล้ว มีการถ่วงเวลาสัก 30 นาที แค่นั้นอารมณ์คุณก็เย็นลงมากแล้ว

ถ้าไอ้ตัวที่กวนโมโหเรามันโทรสวนมาระหว่างนั้น หรือแชตมา ไม่ต้องอ่าน จนกว่าจะถึงบ้าน หรือถ้าให้ดี อีกสักสองสามวันค่อยมาเปิดดูก็ได้

...

****ทำรถเรา ให้เป็นสิ่งที่เอื้ออำนวยต่อความปลอดภัย****

จริงๆ ต้องเขียนว่า “สร้างเสริมนิสัยที่ดีในการสอดส่องดูแลรถ” แต่สมัยนี้ถ้าเขียนแบบนั้นจะโดนหลานๆ ด่ากลับว่าแล้วหนูไปทำนิสัยเลวตอนไหน เลยต้องใช้คำว่าไปทำรถเรา หัวข้อนี้ฟังดูเห่ยมาก เพราะจริงๆ น้าก็ไม่ทราบว่าจะเขียนอย่างไรดี มันเป็นเรื่องของพฤติกรรมหลายอย่างที่พวกเราทำด้วยความประมาท เพราะเราไม่รู้ว่ามันส่งผลร้ายได้ จึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำในรถซึ่งมีหลายสิ่งเหลือเกินครับ เช่น การเอาตุ๊กตาหรือสิ่งบูชาเพื่อมงคลชีวิตไปวางสุมๆ ไว้ตรงกระจกบานหลัง คือมันอาจจะบอกคนข้างหลังได้ว่าเราเป็นคนน่ารักขนาดไหน แต่มันบดบังทัศนวิสัยเวลาเปลี่ยนเลนเราไปครึ่งนึง..ถ้าหลานเรียนขับรถกับใครแล้วมันบอกว่าเวลาเปลี่ยนเลนเช็กแค่กระจกมองข้างพอ ฝากเอาอุ้งเท้าแมวที่บ้านไปตบเขาเบาๆ นะครับ จะเปลี่ยนเลนทีน้าขับรถเอง น้าเช็กกระจกทุกบานยกเว้นกระจกแต่งหน้า เพราะมันจะมีไอ้พวกที่ขับรถเหมือนเครื่องบิน F-22 ปาดซ้ายสุดมาขวาสุด บางทีแค่เราเช็กก่อน เสียเวลา 2-3 วินาที ก็กันเหตุได้ครับ

...

ถ้าหลานเป็นคนที่ต้องเปลี่ยนรองเท้าไปใส่แตะเวลาจะขับรถ ขอให้นำรองเท้าส้นตึกคู่เก่งไปวางไว้ที่พื้นฝั่งคนนั่งหรือไม่ก็ที่พื้นหลังเบาะคนนั่ง อย่ายัดไว้ใต้เบาะคนขับ เพราะบางทีเวลาเราขับรถไป เร่งไป เบรกไป เลี้ยวไป ไอ้รองเท้าตัวดีมันไหลมาขวางทางแป้นเบรกได้ พวกขวดน้ำ น้ำดื่ม น้ำกระป๋อง ถ้ามีในรถ ก็หาพวกกล่องเก็บของมาใส่ไม่ให้มันกลิ้งไปมา เพราะสมัยนี้รถหลายรุ่นเลยละที่ติดตั้งเบาะไว้สูงมาก จนบางครั้งเวลาเราเบรก ของที่อยู่เบาะหลัง สามารถกลิ้งหลุนๆ หล่นลงพื้น แล้วไหลมาถึงแป้นเบรกแป้นคันเร่งข้างหน้าได้ น้าเองก็เคยเจอมาแล้วกับรถตัวเอง กำลังขับมาดีๆ รถปาดหน้า น้ากดเบรกหนัก ขวดน้ำมิเนเร่จากเบาะหลังกลิ้งมาแล้วขัดตรงระหว่างแป้นเบรกกับคันเร่ง..คือมันเบรกได้ แต่พอเราจะปล่อยเบรก มันติดขัด อันตรายจะตายชัก

หรือเรื่องเล็กๆ แม้กระทั่ง การโยนกระเป๋าสะพายไปเบาะหลัง ก็สามารถสร้างความซวยให้หลานได้นะ..นึกภาพว่าเราจอดรถซ้อนคันอยู่ แล้วใส่เกียร์ N ไว้ เราขึ้นรถมาแล้วสตาร์ตรถ จากนั้นก็โยนกระเป๋าถือของเราไปเบาะหลัง สายกระเป๋าก็ไปเกี่ยวเอาคันเกียร์โยกมาตำแหน่ง D ..สมัยนี้รถบางรุ่นสตาร์ตได้โดยเกียร์อยู่ที่ N และสามารถลากเกียร์จาก N มา D ได้โดยไม่ต้องกดปุ่ม ทำให้รถพุ่งไปข้างหน้า แม้จะเป็นความเร็วที่ไม่มาก แต่ถ้ามีคนเดินผ่านตรงนั้นพอดี ก็อาจถึงขั้นหัวเข่าแตกได้เพราะลองนึกดูนะ ว่ารถใส่เกียร์ D ปล่อยไหล หลานเอาผู้ชายตัวเท่าตึกมาหกคนก็ดึงรถไว้ไม่อยู่ แรงเยอะขนาดนี้ไปอัดขาอัดเข่าใคร ก็เจ็บหนักทั้งนั้น

สิ่งของที่หนัก หรือแหลมคม ก็ไม่ควรวางเอาไว้ในรถโดยไม่มีอะไรมัดรั้งไว้ เพราะเมื่อเราเบรกรุนแรง หรือเวลารถพลิกคว่ำ บางทีเราไม่ได้ตายเพราะรถคว่ำ แต่ตายเพราะของพวกนี้บินใส่อก ใส่หัวใจ ใส่หัวกะโหลก และที่สำคัญอีกอย่าง ไม่ว่าจะนับถือสายมูสายไหน อย่าเอาผ้า เอาเชือกอะไรไปพันคอพวงมาลัยเลยครับ ถ้าพันผิดตำแหน่งแล้วเชือกมันตกร่อง ไปขัดการหมุนพวงมาลัย เดี๋ยวจะซวยเอาได้

เรื่องพวกนี้ บางทีไม่มีตำราไหนเขียนสอนเรา แต่ตัวเราต้องเป็นคนที่รู้จักดูแลตนเองว่า พฤติกรรมแบบไหน สิ่งของแบบใด สามารถก่ออันตรายให้การขับรถของเราได้ และอย่าลืมว่า หลายคนในโลกนี้เสียชีวิตลงเพราะมองความปลอดภัยเป็นเรื่องน่ารำคาญหรือไร้สาระ

****ระวังอันตรายจากบุคคลอื่น อย่าคิดว่ามันจะไม่เกิดกับเรา****

เรื่องสุดท้ายในวันนี้ เราจะพูดถึงการเทคแคร์ตัวเองในโลกยุคนี้ที่เต็มไปด้วยคนเฮงซวยชอบเอาเปรียบผู้หญิงกัน ส่วนมาก พวกอมนุษย์ใจทรามพวกนี้ มักชอบเล็งเป้าเหยื่อเป็นผู้หญิงที่ขับรถคนเดียว ทำงานกลับบ้านดึก มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่คาดเดาได้ง่าย ทำอะไรซ้ำๆ เป็นกิจวัตร แต่งตัวดูรวย หรือดูสวย ซึ่งสมัยนี้หลานๆ ทุกคนก็ทำตัวเองให้สวยและรวยแข่งกันทั้งนั้น..แต่หลานไม่ผิดนะครับ พวกมันแหละผิด แต่กลายเป็นภาระของเราที่ต้องมาระวังตัวเอง เพื่อไม่ให้ถูกปล้นหรือทำร้ายร่างกายได้

เอาอย่างเรื่องการปล้นจี้นี่ ผู้หญิงที่โดนมักจะกลับดึกแล้วต้องจอดรถในที่เปลี่ยวลับสายตาคน หรืออาจจะเป็นที่ที่มีคนอยู่ก็จริงแต่ภายในเวลาที่พวกมันใช้ลงมือ 5-10 วินาทีในการช่วงชิงกระเป๋านั้น ไม่มีใครมาขวางมันได้ ดังนั้นถ้าเราเข้าข่ายดังกล่าว เวลาเดินไปรถนั้นก็ควรนัดแนะกับเพื่อนที่กลับบ้านเวลาใกล้เคียงกัน ซึ่งถ้าทางกลับบ้านใกล้เคียงกันเราอาจจะอาสาไปส่งเขาเป็นการตอบแทนก็ได้ เดินไปด้วยกันมืดๆ 2-3 คนดีกว่าคนเดียว และถ้าเลี่ยงไม่ได้ ต้องเดินคนเดียวจริงๆ ก็ให้เดินแล้วสังเกตสิ่งรอบตัวตลอดเวลา โทรศัพท์ต้องอยู่ในที่ที่เอื้อมถึงได้ภายใน 3 วินาที ไม่ใช่ไปกองรวมกับเครื่องสำอางในกระเป๋าถือ และสำหรับกุญแจรถ ถ้ารถของหลานๆ ยังเป็นแบบที่ต้องกดรีโมตหรือเสียบบิดกุญแจสตาร์ต ก็ให้เตรียมกุญแจไว้ในมือ

ช่วงเวลาที่พวกโจรจะชอบโจมตี คือช่วงที่ตัวเราอยู่นอกรถ แล้วก้มหากุญแจหาโทรศัพท์ในกระเป๋า เราก็ต้องปิดจุดอ่อนตรงนี้ ถึงรถให้ไว ขึ้นรถให้เร็ว รีบกดล็อกรถทันทีหลังขึ้น และอย่าโอ้เอ้อยู่ในที่จอดมืดๆนาน

และถึงแม้เราขับออกมาบนถนนแล้ว เวรกรรมก็ยังไม่จบ ดังที่มีกรณีโจรแกล้งทำเป็นขับรถเบียด ชนเพื่อให้คุณลงมาดู แล้วทำการหลอกปล้น ซึ่งตรงนี้ก็ควรจำไว้ว่า ถ้าไม่จำเป็น อย่าลง ไขกระจกลงเซนติเมตรเดียวเราพูดก็ได้ยินเสียงกันแล้ว ไม่จำเป็นต้องเอากระจกลงเยอะจนคนนอกรถยื่นมือเข้ามาในรถได้ คุณอาจจะโดนด่าว่ามารยาทไม่ดี ไม่ยอมลงมาเคลียร์ แต่เราสามารถบอกได้ว่า เราขอโทรเรียกประกันก่อน เราไม่หนี เมื่อมีคนอื่นมายืนเป็นเพื่อนแล้วค่อยคลายการ์ดเราลง การเป็นคนขยันและทำงานดึก คุณมีโอกาสเจอเรื่องแบบนี้ได้ มีสติ ไม่ต้องตกใจ และจำไว้ว่า อย่าไปอยู่ในที่ที่ใครสามารถมาแตะตัวเราได้

และที่สำคัญต้องบอกแทรกเอาไว้ตรงนี้ ต่อให้คุณไม่ได้โดนโจรตก ต่อให้มันเป็นอุบัติเหตุจริงๆ จำไว้ว่า ถ้าคุณไม่ได้จะนั่งอยู่ในรถ ก็ให้เดินออกมาจากรถแล้วอยู่ในบริเวณที่ปลอดภัยจากการมีรถมาชนซ้ำ บางคนพอมีอุบัติเหตุก็จะนึกว่าคนอื่นจะมองเห็นเราหมด แต่บางทีรถบางคันเมา หรือขับมาเร็วมาก ก็จะชนตู้มซ้ำ น้ามีหลานๆ อย่างน้อยสามคนที่อนาคตกำลังสดใส ต้องเสียชีวิตลงเพราะเหตุรถชนซ้ำนี่ละครับ ..ไปนะ ถ้าจะอยู่นอกรถ ก็ไปยืนในจุดที่รถคันอื่นจะไม่มาชนเรา และอย่าหันหลังให้ถนน ต้อง Alert อยู่เสมอครับ

****เป็นผู้ขับที่ตื่นตัวและพร้อมปรับตัวอยู่เสมอ****

ผมเจอหลายคน สอนลูกสอนหลานได้อย่างน่ารักมากว่า “ขับๆ ไปเหอะ คนโง่กว่าเราขับโง่ๆ เยอะแยะก็ไม่เห็นเขาเป็นอะไร” แนวคิดแบบนี้ ทำให้เราเจอคนที่ขับรถเลนขวาด้วยความเร็วระดับเต่าด่าพ่อ ขับรถไม่สนใจหลบรถพยาบาล หรือนึกจะเปลี่ยนเลนก็เปลี่ยน แล้วคิดเอาเองว่าระบบต่างๆ อันทันสมัยในรถยุคนี้สามารถป้องกันเหตุให้คุณทุกอย่างได้ รถสมัยนี้จะมีอุปกรณ์สูงส่งด้วยเทคโนโลยีปานใด 90% ของระบบทำหมดทำมาเผื่อกรณีฉุกเฉิน เช่น คนขับหัวใจวาย หรือกรณีสุดวิสัยโดยทำงานร่วมกับคนขับที่ยังสติดี..ไม่มีระบบไหนสร้างมาเพื่อส่งเสริมความประมาทในการขับ ก่อนจะเชื่อระบบ ลองไปถามตำรวจก่อนนะว่าถ้ารถชน ใครจ่าย เจ้าของรถ หรือบริษัทผู้ผลิตรถ

ใจความของการขับรถคือ “ถึงจุดหมาย โดยที่ตัวเองปลอดภัย คนในรถปลอดภัย และผู้ร่วมใช้ถนนปลอดภัย” สิ่งที่จะช่วยให้บรรลุเป้าหมายเหล่านี้ได้คือการขับที่ตื่นตัวอยู่เสมอ ถึงแม้จะจอดติดไฟแดง คุณคิดเผื่อหรือไม่ว่า รถบรรทุกปูนข้างหลังคนขับอาจจะหลับใน ถ้ามันหลับในจริง คุณจอดรถชิดคันหน้าเกินไปจนไม่สามารถเลี้ยวเลี่ยงได้เมื่อเกิดเหตุหรือไม่ คนชอบถามว่า เวลาถึงไฟแดง หนูควรจอดห่างคันหน้าเท่าไร? ก็ห่างเท่าที่ว่าถ้ารถคันหลังเบรกแตกมา หนูสามารถหักเปลี่ยนไปเลนข้างๆ ได้โดยไม่ชนคันหน้าก่อนละค่ะ

การมองทางข้างหน้าตลอด คือพื้นฐานในการขับขี่ที่ดี การมองข้างหลังบ้าง ก็ดีเช่นกัน ถ้าเจอรถซิ่งแข่งกันพุ่งมาเร็วๆ จำไว้ว่า ถ้าเราอยู่เลนซ้ายหรือกลางอยู่แล้วก็ขับรักษาแนวของเราต่อไป เพราะขืนเปลี่ยนเลนไปเร็วๆ ดีไม่ดีจะไปขวางทางที่พวกนักซิ่งมักตั้งใจวิ่ง แต่ถ้าเราอยู่เลนขวาสุด แล้วต่อให้เราวิ่ง 120 แล้ว หากมีรถคันหลังพุ่งมา ยังไงเราก็ต้องหลบซ้ายนะครับ เพราะกฎหมายคือ เลนขวามีไว้แซง ส่วนหากรถคันนั้นจะวิ่งเร็วเกินกฎหมายกำหนด เป็นหน้าที่ตำรวจในการปราบครับ ไม่ใช่หน้าที่ของเรา นี่ผมไม่ได้สอนว่าเวลาคุณเจออันธพาลถนนพวกนี้แล้วคุณต้องหลบ คุณต้องยอม แต่ผมกำลังสอนว่า อะไรที่มันทำให้เราไม่ต้องมีเรื่องปาดหน้าจอดต่อยกลางถนน แล้วเราพอทำได้ ก็ทำไป เพราะภารกิจของเรามีจุดหมายคือ “ถึงที่หมาย เราปลอดภัย คนในรถปลอดภัย และคนอื่นบนถนนปลอดภัย” และการที่เราอยู่เลนขวา แล้วหลบให้รถเร็วกว่าที่มาข้างหลัง..เราทำสิ่งที่ถูกนี่ครับ มันใช่ว่าใครมาข่มมาด่าเราเสียที่ไหน ตรงกันข้าม ถ้าเราไม่หลบ แล้วอันธพาลถนนมันฉีกออกซ้ายมาปาดรถเรา เราชน ต่อให้ตามจับตัวภายหลังได้ แต่เสียเวลา เสียรถเพื่ออะไร?

จริงๆ แล้ว อาจมีเรื่องที่เราสอนให้ใครสักคนขับรถดีๆ ได้อีกเยอะ แต่ในเมื่อเราอยู่ในสังคมที่อยู่บนถนนก็อันตราย เดินไปรถก็อันตราย ผู้คนก็อันตราย ผมคิดว่าสอนให้ลูกหลานที่เป็นเพศหญิงตัวเล็กๆ ของเรา ขับรถใช้รถแล้วไม่พาตัวเองหรือคนอื่นไปตาย สำคัญกว่าการสอนให้รู้จักเรื่องประเภทน้ำมันเครื่อง เช็กลมยาง ถ่ายน้ำหม้อน้ำหรืออะไรอย่างอื่น

แต่ทั้งหมดนี้ต้องเรียนส่งท้ายว่า ไม่ได้เขียนเพื่อดูถูกสตรีเพศแต่อย่างใด ในขณะที่โลกนี้มีผู้หญิงขับรถในสนามได้เร็วกว่าผม สู้บนเวทีแล้วคว่ำผมได้ ฉลาดกว่าผม เรามีคนเก่งและแกร่งอยู่ในทุกเพศ แต่มองตามความจริงว่ายังมีผู้หญิงอีกมากที่ไม่ได้เก่งหรือแกร่งในเรื่องเกี่ยวกับรถ เราพูดและแชร์ความเห็นกันไว้ ถึงผมโดนด่าว่ากดขี่เพศหญิง แต่ถ้าบทความนี้เซฟชีวิตลูกหลานสาวของพวกเราได้แม้แต่คนเดียว มันก็คุ้มแล้วครับ ใครจะด่าก็ด่าไป.

Pan Paitoonpong