ของเหลวต่างๆ ที่อยู่ในระบบขับเคลื่อน โดยเฉพาะเครื่องยนต์ มีความสำคัญในการที่จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างราบรื่น สารหล่อลื่นและหล่อเย็น คืออุปกรณ์สำคัญที่ไม่อาจละเลย แม้แต่รถใหม่ๆ ก็อาจเกิดปัญหาได้ หากน้ำในหม้อน้ำ หรือน้ำมันเครื่องยนต์ไม่อยู่ในเกณฑ์ปกติ ของเหลวต่างๆ ในรถ มีหน้าที่สนับสนุนช่วยให้เครื่องยนต์ทำงานเต็มประสิทธิภาพ เมื่อใส่ใจตรวจเช็กดูแลไม่ให้ของเหลวต่างๆ หดหายไปหรือหมดสภาพ ก็จะช่วยในเรื่องของการลดค่าซ่อมบำรุง ช่วยทำให้ประหยัดเงิน ในช่วงที่จะต้องใช้จ่ายอย่างระมัดระวังท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

...

น้ำมันเครื่อง

ส่วนใหญ่มีก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องยนต์ ควรจอดรถให้เครื่องเย็นก่อน ค่อยดึงก้านวัดออกมาทำความสะอาด แล้วเสียบกลับเพื่อดึงออกมาดูระดับของน้ำมันเครื่องอีกครั้ง หากพบว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำกว่ากำหนดก็ควรจะเติมเพิ่ม หรือตรวจสอบหาจุดรอยรั่วซึม เปลี่ยนน้ำมันเครื่องยนต์ ตามเกรดของน้ำมันและระยะทางที่ใช้ เช่น น้ำมันเครื่องปกติธรรมดาสามัญ เปลี่ยนพร้อมกรองน้ำมันเครื่องที่ 5,000 กิโลเมตร ส่วนน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ ถ้าเกรดสูงๆ สัก 15,000 กิโลเมตร ก็เปลี่ยนได้แล้ว ไม่ต้องลากไปถึง 20,000 กิโลเมตรตามเกณฑ์ สภาพอากาศร้อนชื้นของประเทศไทย รวมกับลักษณะของการขับใช้งานจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้น้ำมันเครื่องยนต์ค่อยๆเสื่อมสภาพ

น้ำในหม้อน้ำ 

ระบบระบายความร้อนของรถยนต์ประกอบด้วย ปั๊มน้ำ (Water pump) วาล์วน้ำ (Thermostat) ท่อยางหม้อน้ำ (Radiator hoses), หม้อน้ำ (Radiator) พัดลมระบายความร้อน (Fan) ทำงานร่วมกันนับตั้งแต่เริ่มสตาร์ตเครื่องยนต์ ตัวปั๊มน้ำก็จะทำงานโดยได้รับแรงหมุนจากสายพาน ซึ่งต่อมาจากการหมุนพูเล่ย์ ของแกนเพลาข้อเหวี่ยง การที่ปั๊มน้ำทำงาน เป็นผลทำให้มีน้ำไหลเวียนอยู่ในโพรงผนังของเสื้อสูบ และบริเวณที่มีความร้อน ในส่วนของหม้อน้ำและฝาปิดหม้อน้ำ (Radiator cap) ถังน้ำสำรอง (Coolant Reserve tank)

ขณะที่เครื่องยนต์ มีอุณหภูมิสูงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ น้ำจะเกิดการขยายตัว เพื่อดันตัวเองออกจากหม้อน้ำ ฝาหม้อน้ำ จะช่วยต้านแรงดันนี้ไว้ระดับหนึ่ง เมื่อน้ำมีอุณหภูมิสูงขึ้นและเกิดแรงดัน แรงดันของไอน้ำขณะที่เครื่องยนต์ทำงานบริเวณฝาหม้อน้ำจะดันสปริงวาล์วฝาหม้อน้ำให้เปิดออก แล้วน้ำก็จะไหลออกไปทางท่อน้ำล้น ที่อยู่บริเวณปากฝาหม้อน้ำ ทุกครั้งที่ตรวจสอบระบบหล่อเย็นหรือระบบระบายความร้อน ต้องทำก่อนการติดเครื่องยนต์ หรือทำขณะที่เครื่องยนต์ยังคงเย็นอยู่เท่านั้น ห้ามเปิดฝาหม้อน้ำหรือเอามือไปจับท่อยางในขณะที่เครื่องยนต์ร้อนจัดอย่างเด็ดขาด เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน

ตรวจระดับน้ำในถังพักน้ำทุกครั้งก่อนสตาร์ตเครื่องยนต์ รถที่ไม่มีถังพักน้ำก็เปิดฝาหม้อน้ำตอนเช้าๆ ก่อนสตาร์ตเครื่องเพื่อดูว่ามีน้ำอยู่ในระดับปกติของหม้อน้ำหรือไม่ หากใช้รถบ่อยครั้งก็ควรตรวจสอบเป็นประจำ ปกติระดับน้ำในถังพักควรอยู่ตรงคอหม้อน้ำพอดี หรืออยู่ระหว่างกึ่งกลางขีด MAX และ MIN สำหรับรถที่มีหม้อพักน้ำ ถ้าเห็นว่าน้ำพร่องลงไปก็เติมน้ำเพิ่ม แต่ถ้าหากน้ำลดลงมาก ก็ขอให้สันนิษฐานก่อนว่าอาจรั่ว สมควรที่จะต้องนำรถของคุณเข้าศูนย์บริการทันทีเพื่อให้ช่างตรวจเช็ก

...

...

น้ำกลั่นในแบตเตอรี่

ถ้าใช้แบตฯแบบไม่มีช่องเติมน้ำกลั่นก็ตัดปัญหาความวุ่นวายในการตรวจสอบ แต่แบตเตอรี่แบบ maintenance free ลูกนึงมีราคาไม่ใช่ถูกๆ ถ้าใช้แบตเตอรี่ที่ต้องเติมน้ำกลั่น ซึ่งเป็นแบตฯ ที่รถยนต์ส่วนใหญ่นิยมใช้ เนื่องจากมีราคาถูกกว่าแบตฯ แบบแห้ง แบตฯที่ต้องตรวจเช็กระดับน้ำกลั่น แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ แบบที่ต้องเติม และดูแลน้ำกลั่นบ่อยๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง กับแบบไม่ต้องดูแลบ่อย (Maintenance Free) ซึ่งจะกินน้ำกลั่นน้อยมาก

โดยทั้ง 2 แบบนี้ จะมีฝาปิด-เปิดสำหรับเติมน้ำกลั่น ในแบบแรกนี้จะมีอายุการใช้งานโดยประมาณ 1.5-2 ปี แต่ไม่ควรเกิน 3 ปี ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับสภาพการใช้งาน และการดูแลรักษา ถ้ามีการดูแลรักษาอยู่สม่ำเสมอ ก็จะทำให้แบตฯ มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น อย่างไรก็ดีเมื่อแบตฯ เกิดหมดอายุการใช้งาน ก็สมควรที่จะต้องควักเงินเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่ได้เลย สำหรับแบตเตอรี่แบบเปียกนั้นมีอายุการใช้งานไม่เกิน 3 ปี หมั่นตรวจสภาพของระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่ทุกๆ 1 สัปดาห์ เมื่อเห็นว่า น้ำกลั่นลดลงต่ำกว่าขีดที่กำหนดข้างๆตัวแบตฯ หรือเปิดฝาเติมน้ำกลั่นแล้วมองดูว่าน้ำกลั่นยังปกติดีหรือแห้งกรังไปแล้ว ควรเติมน้ำกลั่นให้ได้ตามระดับที่กำหนด ไม่ควรเติมต่ำหรือสูงเกินไป (เติมน้ำกลั่นมากเกินไปจนล้น เป็นสาเหตุหลักทำให้ขี้เกลือขึ้นเร็ว แบตฯ สกปรกเร็ว)

...

น้ำมันเกียร์อัตโนมัติ

ปัจจุบัน มีรถยนต์หลายแบรนด์ ชอบเคลมว่าเกียร์อัตโนมัติของพวกเขาไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ตลอดอายุการใช้งาน แล้วมันจะมีเกียร์ที่โคตรเหนียวแบบนั้นจริงหรือ ขอตอบตรงนี้เลยครับว่า ไม่มี

แล้วถามว่า ทำไมต้องเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ ในเมื่อศูนย์รถยนต์บางยี่ห้อเคลมว่า ไม่ต้องเปลี่ยนตลอดอายุการใช้งาน

ตอบว่า น้ำมันเกียร์ เมื่อเริ่มต้นใช้งานมันก็จะเริ่มการเสื่อมสภาพจากความร้อนที่เกิดขึ้นในห้องเกียร์ เมื่อเกิดความร้อนและปะปนกับเศษโลหะ ทำให้น้ำมันเกียร์ที่เติมสารปรุงแต่งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการหล่อลื่น สารปรับสภาพความหนืด สารป้องกันการกัดกร่อนและการทำปฏิกิริยาของออกซิเจน สารต้านการเกิดฟอง สารเพิ่มแรงกด ค่อยๆ หมดประสิทธิภาพลงไปตามอายุการใช้งาน ขับมากใช้มากก็เสื่อมเร็ว ขับน้อยไม่ค่อยได้ใช้ก็ใช่ว่าจะไม่ต้องเปลี่ยน?

น้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพ อาจมาจากปัญหาของเกียร์ออโต้ในด้านอายุการใช้งาน
มีฝุ่นผงของแผ่นเบรกเบรนหรือแผ่นคลัตช์ผสม จนไหลเวียนไปตามส่วนต่างๆ ทำให้ระบบน้ำมันไฮโดรลิกอัดตัวแน่นกับเสื้อลิ้น เมื่อเข้าเกียร์จะทำให้เกิดเสียง

มีน้ำหล่อเย็นรั่วเข้าห้องเกียร์ หรือลุยน้ำท่วมบ่อยครั้ง จนทำให้น้ำมันเกียร์เสื่อมสภาพ จำเป็นต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ใหม่ รวมถึงทำความสะอาดระบบเกียร์ทั้งหมด

น้ำมันเกียร์ออโต้แบบ T4 ไม่ต้องเปลี่ยนตลอดอายุการใช้งาน โห ฟังดูดีจัง แต่มันเกินความเป็นจริงไปไกล อันนี้ก็เคลมกันออกแนวโม้มากเกินไป ไม่มีเกียร์ลูกไหนที่ทนทานขนาดไม่ต้องเปลี่ยนของเหลวหล่อลื่นตลอดอายุการใช้งาน เห็นคนที่ทำตามเกียร์กระจายกันเยอะในช่วงที่หมดระยะประกันจากบริษัทพอดิบพอดี โดนค่าซ่อมเกียร์เข้าไปในช่วงนี้ถึงกับหน้ามืดละครับ 

แล้วเมื่อไหร่ที่ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์ 

ใช้งานไปสัก 40,000 กิโลเมตร ก็ควรเปลี่ยนถ่ายได้แล้ว จะใช้การดูดออก หรือการเปิดแคร็งเกียร์เพื่อถ่ายน้ำมันเก่าออกก็เลือกที่สะดวก การเปลี่ยนอาจมีน้ำมันเกียร์เก่าที่ยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง แต่น้ำมันเกียร์ออโต้ที่สดใหม่ ซึ่งเพิ่งเติมลงไปจะช่วยหล่อลื่นและทำให้เกียร์อัตโนมัติของคุณทำงานเต็มประสิทธิภาพ ถ้าเปลี่ยนกรองเกียร์ได้โดยที่ราคาไม่แรงเกินไปก็เปลี่ยนไปพร้อมกันเลยทีเดียว อณูโลหะที่ค้างคาอยู่ในระบบเกียร์ มีขนาดเล็กจิ๋วก็จริง แต่ถ้ามีมากเข้าก็อาจทำให้เกียร์สึกหรอได้ รวมไปถึงอุณหภูมิความร้อนที่สะสมจากการใช้งานหนัก ก็เป็นตัวการที่ทำให้ของเหลวหล่อลื่นในระบบเกียร์เกิดการเสื่อมสภาพ เปลี่ยนกรองไปด้วยก็จะยิ่งทำให้ระบบกลับมาสดใหม่อีกครั้ง แต่ถ้าขับไม่บันยะบันยัง ขึ้นมาได้เป็นขยี้ เปลี่ยนเกียร์เล่นขึ้นๆ ลงๆ บ่อยครั้ง หรือคิกดาวน์ ออกตัวด้วยความรุนแรงรวดเร็วต่อเนื่องและทำบ่อยๆ แม้จะเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามระยะยังไง เกียร์ก็อยู่รับใช้ไม่ไหวนะจ๊ะนายจ๋า!! 

น้ำมันเบรก

เปิดฝากระโปรงออกมาก็จะเห็นกระปุกน้ำมันเบรกฝาสีเหลือง หรือสีดำ มีระดับวัด MAX และ MIN ระดับของน้ำมันเบรกที่เหมาะสมต้องอยู่ที่ MAX เสมอ หากพบว่าน้ำมันเบรกพร่องลงไป ก็น่าจะเกิดการรั่วซึม การเปลี่ยนถ่ายนั้น นานนิดนึงที่ 80,000 กิโลเมตร หรือประมาณ 3 ปี น้ำมันเบรกปัจจุบันมี 3 แบบ คือ Dot3 Dot4 Dot5 และยังมีเกรดแยกย่อยเช่น Dot3 /Super Dot3 / Dot4 /Super Dot4 / Dot 5.1 รถยนต์ทั่วไปใช้ Dot3 และ Dot4 ส่วน Dot5.1 นั้นสำหรับ Super Car หรือรถ High Performance ค่า Dot ก็คือ การทนทานต่ออุณหภูมิความร้อน Dot 4-Dot 5 จะทนต่ออุณหภูมิสูงได้ดีกว่า Dot 3 

ผลเสียจากการที่น้ำมันเบรกเสื่อมสภาพ ขาดการใส่ใจดูแลเปลี่ยนถ่าย จะทำให้ประสิทธิภาพในการเบรกไม่ดี หรือใช้ระยะเบรกมากกว่าเดิม เกิดเสียงดังขณะเบรก น้ำมันเบรกเป็นของเหลวที่มีอายุยืนยาวถึง 80,000 กิโลเมตร แต่ถ้าใช้งานหนัก เบรกบนทางภูเขาขึ้นๆ ลงๆ บ่อยครั้ง น้ำมันเบรกก็จะมีอุณหภูมิสูงขึ้น อุณหภูมินี่เองที่เป็นตัวแปรทำให้น้ำมันเบรกเสื่อมสภาพ 

น้ำล้างกระจก

ฝนหยุดตกแต่ถนนยังเจิ่งนองไปด้วยน้ำ การวิ่งตามรถคันข้างหน้า ไม่สามารถหลีกเลี่ยงละอองน้ำที่ฟุ้งกระจายได้ ละอองน้ำฝนที่อยู่บนถนนมีสิ่งสกปรกจือปนอยู่ ทั้งเศษดินโคลนหรือฝุ่นผงที่ผสมกับน้ำ กลายเป็นตัวการที่บดบังการมอง ซึ่งการมองเห็นขณะขับรถมีความสำคัญมาก หากคุณมองไม่เห็น หรือมองไม่ชัดเพราะกระจกหน้าสกปรกจากละอองน้ำ แล้วน้ำในกระปุกฉีดน้ำล้างกระจกดันมาหมดกลางทาง อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุจากการมองไม่ชัดหรือมองไม่เห็น ตรวจสอบระดับน้ำในกระปุกน้ำฉีดล้างกระจก หรือเติมน้ำล้างกระจกบ่อยครั้ง จะผสมแชมพู หรือน้ำยาล้างกระจกลงไปด้วยก็ได้ โดยเฉพาะในช่วงหน้าฝน เพราะถ้าฝนหยุดตกแต่ผิวถนนยังเต็มไปด้วยน้ำ คุณไม่สามารถหลีกเลี่ยงละอองน้ำเลอะๆได้เลย ยิ่งปัดก็จะยิ่งทำให้เลอะมากขึ้นไปเรื่อยๆ เมื่อไม่มีน้ำมาฉีดล้าง การขับโดยที่ทัศนวิสัยด้านหน้าไม่ชัดเจนอาจก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้.

ผู้เขียน : อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/