- ฝนตกศัตรูตัวฉกาจของผู้ขับรถทุกคน แค่เปิดแอร์ขับรถตอนฝนกระหน่ำก็มีอันตรายต่อทัศนวิสัยแล้ว
- นอกจากลดความเร็วในการขับรถฝ่าสายฝนแล้ว ควรเว้นระยะห่างจากรถคันหน้าให้มีพื้นที่พอ หากรถคันหน้าจะเบรกกะทันหัน
- คำเตือนสำคัญคือ หากฝนตกหนักจนขับต่อไม่ไหว อย่าริอาจจอดรถข้างทาง ควรหาที่จอดที่ไกลจากถนนให้มากที่สุด เพราะรถคันอื่นก็ย่อมมีทัศนวิสัยการมองเห็นแย่ไม่ต่างกับเรา
กรมอุตุนิยมวิทยาได้กำหนดให้วันที่ 15 พฤษภาคม นี้ เป็นวันสุดท้ายของฤดูร้อน และเข้าสู่ฤดูฝนของประเทศไทย ปัจจุบัน จากสภาพภูมิอากาศโลกที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวร้าย จากสภาวะโลกร้อน ทำให้การใช้รถใช้ถนนในฤดูฝน มีอันตรายเพิ่มมากขึ้นทุกที พายุลมแรงที่พัดกระหน่ำกลายเป็นอุปสรรคที่สร้างอันตรายได้ทุกเมื่อ ลมกระโชกแรงพัดทุกสิ่งที่ยึดไม่แน่นให้ปลิวไปตามลมและพร้อมจะสร้างความเสียหายให้กับรถของคุณ ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นนักขับที่เชี่ยวชาญและเคยชินกับการควบคุมรถยนต์ท่ามกลางสภาพอากาศชื้นแฉะของฤดูฝน การควบคุมรถจึงกลายเป็นเรื่องที่ท้าทาย โดยมีสถิติสะท้อนให้เห็นความจริงที่น่าใจหายว่า อุบัติเหตุมักเกิดมากขึ้นในระหว่างฝนตก การที่ผู้ขับขี่มีสติและระมัดระวังมากขึ้นเมื่อต้องขับขี่บนถนนที่เปียกและลื่น จึงเป็นสิ่งสำคัญ
...
ทัศนวิสัยมุมมองเป็นเรื่องสำคัญ
เมื่อขับรถท่ามกลางฝนตก มักจะเกิดละอองฝ้าเกาะกระจกและหน้าต่าง
ควรเปิดเครื่องปรับอากาศเพื่อสลายความชื้นภายในรถ หากรถของคุณไม่มีระบบปรับอากาศ ควรเปิดหน้าต่างด้านหลังให้มีช่องว่างเพียงพอให้อากาศถ่ายเท หากเกิดฝ้าบนกระจกและทำให้บดบังทัศนวิสัยของการมองเห็น ควรลดความเร็วหรือจอดเพื่อทำความสะอาดกระจก เพื่อทำให้มองเห็นได้ชัดเจนและมองได้ไกลมากขึ้น รถติดฟิล์มกรองแสงเข้ม โดยเฉพาะการติดฟิล์มที่กระจกบังลมบานหน้าจะทำให้มองได้ไม่กระจ่างหรือไม่ชัดเจนหากมีฝนตกหนักในช่วงพลบค่ำ ควรใช้ความระมัดระวังในการขับ หรือหากมองเห็นยากก็ควรจอดรอให้ฝนหยุดตก หากฝืนขับต่อแล้วมองไม่ชัดเจนอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้
ลดความเร็วให้เหมาะสมกับผิวถนนที่ชื้นแฉะ หรืออาจมีแอ่งน้ำ
การลดความเร็ว เป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นจะต้องทำ เนื่องจากพื้นผิวที่เปียกแฉะจะทำให้ผู้ขับขี่บังคับรถได้ไม่ดีเท่ากับการขับบนพื้นถนนแห้ง นอกจากนี้ อาจต้องใช้ระยะเบรกเพิ่มขึ้นเท่าตัว รวมทั้งอาจบังคับพวงมาลัยหลีกสิ่งกีดขวางต่างๆ ได้ไม่ดีนัก ลดความเร็วทันทีที่สภาพถนนเปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยแห้งสนิทกลับเปียกชื้น การลดความเร็วจะทำให้คุณมีระยะเบรกที่ปลอดภัย การขับเร็วท่ามกลางสภาพถนนที่เปียกลื่นจะยิ่งเพิ่มอันตรายขึ้นอีกเท่าตัวเมื่อจำเป็นที่จะต้องใช้เบรกแบบฉุกเฉิน หรือต้องหักพวงมาลัยเปลี่ยนทิศทางแบบกะทันหัน คุณอาจลื่นไถลจนตกถนนหรือเสียหลักหมุนไปฟาดกับต้นไม้ เสาไฟฟ้า เมื่อใช้ความเร็วที่ไม่เหมาะสม หรือสอดคล้องกับสภาพอากาศและผิวถนนที่เปลี่ยนไป อันตรายจากอุบัติเหตุจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ควรลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุด้วยการลดความเร็วและเพิ่มความระมัดระวังในการควบคุมรถยนต์
...
ทิ้งระยะห่างจากรถคันข้างหน้าให้มากขึ้น
เมื่อฝนตก ควรรักษาระยะห่างระหว่างรถของคุณกับรถคันหน้าให้เหมาะสม เนื่องจากอาจต้องใช้ระยะเบรกยาวขึ้นเมื่อขับรถบนถนนที่เปียกแฉะ นอกจากนี้ การรักษาระยะห่างเอาไว้ จะช่วยไม่ให้รถโดนน้ำที่กระเซ็นมาจากรถคันข้างหน้า ซึ่งจะช่วยให้ทัศนวิสัยดีขึ้น การทิ้งระยะห่างห้าสิบเมตร เมื่อขับด้วยความเร็ว 60-80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะทำให้คุณมีระยะห่างที่มากพอสำหรับการเบรก หรือหักหลบหากเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นตรงหน้า เช่น รถชนกันอยู่ข้างหน้าหรือมีเศษสิ่งของอยู่บนผิวทาง ไม่ว่าจะเป็นเศษกิ่งไม้ สังกะสี ป้ายโฆษณา รวมถึงรถที่จอดหลบฝนอยู่ตามไหล่ทาง
...
ใช้สายตาสังเกตการณ์เพื่อตรวจสอบความเป็นไปข้างหน้า
ควรมองไปบนถนนข้างหน้า ไปที่จุดหมายเบื้องหน้าที่ต้องการจะไปเสมอ มองให้ไกลเข้าไว้ ถ้ามีอุปสรรคต่อการมองเห็น เช่น ฝนหนักมากพร้อมลมพายุพัดแรง ควรหาที่จอดหลบที่ปลอดภัย ไม่ควรจอดตามไหล่ทาง จอดให้ห่างจากถนนให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้เพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุชนท้ายจากการมองที่ย่ำแย่ ไม่ควรเปิดไฟผ่าหมากหรือไฟฉุกเฉินพร้อมๆ กับวิ่งไปด้วย สัญญาณที่สับสนของไฟฉุกเฉินอาจทำให้คุณโดนรถคันอื่นชนเมื่อวิ่งผ่านทางแยก!
...
อย่าเร่ง เลี้ยว หรือเบรกอย่างรวดเร็วและรุนแรง ตรวจเช็กสภาพยางและลมยาง
การขับบนถนนที่มีน้ำฝนปกคลุม โดยเฉพาะบนพื้นถนนที่แฉะและลื่นจากเศษดินของรถบรรทุกที่ทำหล่นเอาไว้ อาจทำให้รถสูญเสียการทรงตัว ควรขับขี่ด้วยการบังคับพวงมาลัยอย่างนุ่มนวลและระมัดระวัง ห้ามกระตุกพวงมาลัยเร็วๆ ในสภาพผิวทางที่เปียกลื่น ตรวจสอบดอกยางและสภาพของยางเพื่อความมั่นใจในการเดินทาง ยางหัวโล้นหมดดอกก็ต้องเปลี่ยนทิ้งทันที อย่าไปเสียดายเงิน ดอกยางที่ดีจากยางที่สดใหม่จะช่วยรีดน้ำได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และทำให้รถของคุณทรงตัวบนทางเปียกลื่นได้ดีขึ้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับการใช้ความเร็วด้วยเหมือนกัน
สิ่งที่สำคัญในลำดับต้นๆ ของการขับท่ามกลางสายฝนก็คือ สภาพของยางและลมยาง การใช้ความเร็ว ส่วนตัวแปรที่อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุ เป็นกับดักที่หลายคนมองไม่เห็นก็คือ แอ่งน้ำบนถนน กระแสลม และสภาพแสงในขณะนั้น ยางที่สดใหม่จะช่วยให้ปลอดภัย ควบคุมรถได้ดีในย่านความเร็วที่เหมาะสม ไม่ว่าจะขับเคลื่อนสองล้อหรือสี่ล้อ ให้ใช้ความระวังเพิ่มขึ้นเมื่อฝนตก ลดความเร็วลงมา ความเร็วที่ปลอดภัย สำหรับรถยนต์ที่มีสมรรถนะดี อยู่ที่ 60-70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
การใช้ความเร็วที่เหมาะสมในสภาพถนนเปียก จะเพิ่มประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนและการรีดน้ำของยาง การควบคุมทิศทางของรถ และการเบรกที่ดียิ่งขึ้น ความปลอดภัยและการทรงตัวบนถนน ถือเป็นคุณค่าหลักของยาง โดยเฉพาะเมื่อต้องขับรถท่ามกลางสายฝน ยางที่ดีมีคุณภาพเหมาะสมกับการใช้งานในฤดูฝน ถูกออกแบบมาเพื่อให้ผู้ขับขี่รถยนต์มีความมั่นใจและสามารถควบคุมรถได้อย่างมั่นใจ โดยเฉพาะบนถนนที่เปียกหรือชื้นแฉะที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อความเป็นและความตายแม้เพียงแค่เสี้ยววินาที ขอแค่อย่าเปิดไฟฉุกเฉินแล้ววิ่งฝ่าสายฝนก็พอครับ.
ผู้เขียน : อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/