ประเทศไทยกำลังเข้าสู่หน้าร้อนระอุอย่างเป็นทางการแล้ว เรามักได้ยินเสียงบ่นข้างหูมากมายถึงภาวะอากาศที่ชวนไขมันละลาย และหน้ามืดเป็นลม
ในยามต้องออกไปทำกิจกรรมต่างๆ ภายนอกอาคารและเจอกับอุณหภูมิที่สูงระดับ 35-40 องศาฯ เช่น เดินไปทานข้าวกลางวันข้างๆ ออฟฟิศ ที่สำคัญอากาศที่ร้อนเพิ่มมากขึ้นทุกๆ ปีแบบนี้ ไม่ได้มีผลแค่กับการใช้ชีวิตของมนุษย์อย่างพวกเราเท่านั้น แต่ยานพาหนะคู่ใจของเราอย่างรถยนต์ ก็อาจเกิดอาการอดรนทนไม่ไหวได้เช่นกัน
วันนี้เรามีเคล็ด (ไม่) ลับ เรื่องการดูแลรถในช่วงหน้าร้อนมาให้คุณดังนี้
1. หม้อน้ำต้องมีน้ำสมบูรณ์
เราควรตรวจสอบระดับน้ำในหม้อน้ำว่าพร่องหรือน้อยไปหรือไม่ หากใช่ หมั่นเติมน้ำสะอาด และถ่ายน้ำในหม้อน้ำทิ้งทุก 4-6 เดือน ถ้าเป็นรถใหม่ ควรตรวจสอบอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง หากเป็นรถที่มีอายุการใช้งานเกิน 5 ปี ควรตรวจสอบ 2–3 ครั้งต่อสัปดาห์ จะได้ไม่เกิดอาการรถตายกลางทางจากหม้อน้ำแห้งเหือด
2. ยางรถยนต์ที่ไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด
เราควรเติมลมยางรถยนต์ให้มากขึ้นสัก 2-3 ปอนด์ เพื่อช่วยป้องกันการเปิดตัวของแก้มยาง ซึ่งหากปล่อยให้ยางอ่อนความร้อนอาจทำให้แก้มยางเกิดการบิดตัวมากและร้อนผิดปกติ จนส่งผลให้แรงดันภายในของยางรถยนต์สูงขึ้นจน “ยางระเบิด” ได้ ทั้งนี้หากสังเกตเห็นยางบวมอย่างชัดเจนให้ทำการเปลี่ยนแต่เนิ่นๆ ไม่ควรขับออกไปทั้งอย่างนั้น อาจเกิดอุบัติเหตุได้
ข้อพึงระวัง... อีกสาเหตุที่หลายคนอาจไม่ทราบคือเวลาเราจอดรถบนพื้นถนนที่มีน้ำเจิ่งนองเป็นเวลานานๆ แล้วนำรถออกมาวิ่งบนถนนที่ร้อนจัดทันที เนื่องด้วยอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหัน จะทำให้ยางบวมหรือระเบิดได้ด้วย
...
3. ขยับส่วนที่เป็นยางสม่ำเสมอ
เพราะความร้อนของแดดหรืออากาศอาจทำให้วัสดุที่เป็นยางละลายจนเหนียวและด้าน เมื่อถึงเวลาใช้งานจึงฉีกขาดได้ ทางที่ดีควรหมั่นเปิด-ปิดให้ขอบยางได้ขยับบ้างอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง แม้จะไม่มีความจำเป็นต้องเปิดใช้ไม่ว่าจะเป็นที่ปัดน้ำฝน, หน้าต่าง, ประตูหลัง, กระโปรงท้ายรถ หรือหลังคาซันรูฟ

4. พักสักหน่อยเมื่อขับบนถนนที่ร้อนจัด
ใครเดินทางไกลๆ ช่วงหน้าร้อนต้องพึงระวังหลีกเลี่ยงการขับรถบนผิวถนนที่ร้อนจัดเป็นเวลานาน ควรหยุดพักรถทุก 200–300 กิโลเมตร เพื่อระบายความร้อน ป้องกันเครื่องยนต์ร้อนจัด
5. รีบแค่ไหน ต้องมั่นใจว่าปิดประตูรถทุกบานสนิท
อันนี้เป็นข้อสำคัญเลย หลายคนรีบและเกิดการปิดประตูรถไม่สนิท ซึ่งหากเราปิดประตูไม่สนิทไฟในรถอาจติดและทำงานต่อเนื่อง เช่น ไฟประตู ไฟเพดาน ที่จะติดโดยอัตโนมัติ และหากเราจอดรถทิ้งไว้นานๆ กลางแดดร้อนๆ อาจทำให้เกิดความร้อนสะสมจนระบบไฟอาจช็อตขึ้นและลุกไหม้ทำให้รถเสียหายได้
6. ฟิล์มกรองแสงช่วยผ่อนหนักเป็นเบา
สามารถพิจารณาจากคุณสมบัติต่างๆ ของฟิล์ม โดยหลักๆ มีอยู่ 3 อย่าง คือ
- ค่าการลดรังสีอัลตราไวโอเลต
- ค่าการลดความร้อน
- ค่าการสะท้อนแสง ซึ่งฟิล์มกรองแสงที่มีคุณภาพดีนั้น จะช่วยลดความร้อนจากแสงแดดได้สูงสุดถึง 68%
7. เร่งแอร์สู้ความร้อนในรถมีแต่พังกับพัง
หากขึ้นมาบนรถแล้วร้อนมากให้ลดความร้อนในห้องโดยสาร โดยลดกระจกด้านหนึ่งลงให้สุด แล้วเปิด-ปิดประตูฝั่งตรงข้ามหลายๆ ครั้ง ซึ่งจะไม่ทำให้คอมเพรสเซอร์แอร์ทำงานหนักจนพังเร็วกว่าวัยอันควร และยังช่วยประหยัดน้ำมันได้อีกด้วย
อีกข้อคือไม่ควรปรับตำแหน่งของตัวปรับอุณหภูมิ (Thermostat) ไปที่ Cool ตลอดเวลา หรือไม่เปิดกระจกเมื่อเปิดแอร์ จะช่วยถนอมคอมเพรสเซอร์ไม่ให้ทำงานหนักได้อีกทาง

8. สังเกตอาการเครื่องยนต์ขณะเดินทาง
ตอนขับรถเราสามารถสังเกตอาการเครื่องยนต์ร้อนจัดได้จากเข็มวัดอุณหภูมิที่หน้าปัด ซึ่งโดยปกติจะอยู่ระหว่างตัว C และ H (85–90 องศาเซลเซียส) แต่ถ้าไปอยู่ใกล้ตัว H แสดงว่าเครื่องยนต์ร้อนจัด ให้รีบปิดแอร์เพื่อลดการทำงานของเครื่องยนต์และนำรถจอดข้างทาง เปิดฝากระโปรงรถ เพื่อระบายความร้อน ถ้ามีไอน้ำพุ่งขึ้นมาจากฝากระโปรงรถ รอจนความร้อนของเครื่องยนต์ลดลงจึงไปต่อ ที่สำคัญห้ามราดน้ำลงไปที่เครื่องยนต์เด็ดขาด เพราะจะทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้
...
หากทำได้ทั้งหมดแบบนี้
รถที่คุณรักก็จะปลอดภัยและใช้งานได้ทนแดดทนร้อนตลอดหน้าร้อนนี้ ที่สำคัญอาจช่วยเซฟเงินในกระเป๋าสำหรับการซ่อมแซมได้อีกด้วย นอกจากจะดูแลเรื่องของการใช้งานแล้ว ควรเพิ่มความอุ่นใจในระหว่างเดินทางด้วย อย่าลืมทำประกันภัยรถยนต์ที่เชื่อถือได้ ราคาคุ้มค่า ความคุ้มครองสูง และมีบริการช่วยเหลือยามฉุกเฉินอย่าง รู้ใจ ประกันภัยรถยนต์ออนไลน์ ที่มีเจ้าหน้าที่พร้อมดูแลรับเรื่องเคลมและบริการช่วยเหลือฉุกเฉินกรณีรถเสียบนท้องถนนตลอด 24 ชั่วโมง
ที่มา: รู้ใจดอทคอม