ข้อมูลจากกรมขนส่งทางบก เปิดเผยตัวเลขรถจดทะเบียนใหม่ป้ายแดง เฉพาะรถยนต์ส่วนบุคคลไม่เกิน 7 ที่นั่ง ในเดือนมกราคมที่ผ่านมาเดือนเดียวมียอดสูงกว่า 60,000 คัน นับรวมเป็นยอดสะสมเกือบ 9 ล้านคัน

แสดงให้เห็นว่า วันนี้เรามีผู้ขับรถอยู่บนท้องถนนจำนวนมาก ซึ่งหลายๆ คนมีความรู้ความชำนาญขับขี่อยู่แล้ว แต่บางครั้งอาจยังกังวลและไม่มั่นใจเกี่ยวกับปัญหาหรือสัญญาณไฟที่แสดงเตือนบนหน้าปัดรถหลังสตาร์ตเครื่องยนต์ ไฟ Check Engine จะปรากฏเวลาที่เราเสียบกุญแจแล้วบิดสวิตช์ไปตำแหน่ง ON และเมื่อเราสตาร์ตเครื่องยนต์ติดแล้ว ไฟ Check Engine ก็จะหายไป ซึ่งการเกิดรูปแบบลักษณะดังกล่าวนี้ถือว่าการทำงานของระบบต่างๆ นั้นปกติ แต่ในทางกลับกันเมื่อสตาร์ตแล้วและเครื่องยนต์ติดอยู่แต่ไฟ Check Engine ไม่ได้ดับลง นั่นแสดงว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น 

โดยปกติแล้วไฟ Check Engine จะขึ้นเพื่อเตือนให้เรานำรถเข้าตรวจเช็ก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในทุกกรณีต้องนำรถเข้าศูนย์ทันทีทันใด แต่ไฟ Check Engine แสดงขึ้นเพื่อให้เรานำรถเข้ารับการตรวจเช็กโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ต้องกังวลหรือตกใจจนต้องโทรตามช่างหรือเรียกรถสไลด์ด่วนในทันทีทันใด บางทีอาจเป็นปัญหาเพียงเล็กน้อยที่เราสามารถตรวจสอบและเช็กเองในเบื้องต้นได้ ไทยรัฐออนไลน์ จึงได้สอบถามไปยัง รู้ใจดอทคอม จนได้รับข้อมูลสาเหตุและเคล็ดไม่ลับเกี่ยวกับไฟ Check Engine มานำเสนอ

...

การที่ไฟ Check Engine ขึ้นโชว์เกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ แต่หลักๆ มาจาก 4 ปัจจัย ซึ่งเกี่ยวข้องกับการทำงานของเครื่องยนต์ ได้แก่

1. ระบบการฉีดน้ำมัน (Injection System) ประกอบด้วยระบบจ่ายน้ำมันและระบบหัวฉีด

2. ระบบจุดระเบิด (Ignition System) ซึ่งประกอบด้วยคอยล์ หัวเทียน และ Sensors ต่างๆ ถ้าเป็นเครื่องยนต์ดีเซล ระบบจุดระเบิดจะแตกต่างกับเครื่องเบนซิน

3. ระบบอัดอากาศและระบบ Vacuum ซึ่งประกอบด้วยท่ออากาศและท่อ Vacuum (สุญญากาศ) ต่างๆ

4.ระบบควบคุมไอเสีย (Exhaust Emission System) ซึ่งประกอบด้วยระบบ EGR (Exhaust Gas Recirculation System) และ Sensors วัดปริมาณไอเสียหรือที่เรียกว่า Oxygen Sensor

นอกจากสาเหตุหลักที่กล่าวมาข้างต้น สาเหตุอื่นๆ ที่หลายคนคาดไม่ถึง ซึ่งได้หยิบยกมาเป็นข้อมูลให้บรรดานักขับได้ทราบในครั้งนี้ด้วย ก็คือสิ่งผิดปกติที่ไม่ได้เกิดจากการเสียของอุปกรณ์ใดๆ เช่น เกิดจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ มักพบบ่อยมากในกรณีเติมน้ำมันไม่ได้ค่า Octane ตามที่เครื่องยนต์ต้องการ หรือในรถรุ่นใหม่ๆ จะมีความไวต่อการตรวจสอบอย่างยิ่ง แค่ปิดฝาถังน้ำมันไม่สนิท ไฟ Check Engine ก็ขึ้นโชว์ได้เช่นกัน กรณีเหล่านี้สามารถใช้เป็นเครื่องมือวิเคราะห์เพื่อลบไฟ Check Engine นี้ได้ หรือบางครั้งไฟก็ดับไปเอง

บางกรณีหากคุณพอมีความรู้ด้านฝีมือช่างหรือสนใจในการปรับแต่งอยู่บ้าง ก็สามารถแก้ไขปัญหา Check Engine ได้ด้วยตัวเอง หากว่าสาเหตุไม่ได้เกิดจากการชำรุดเสียจากเครื่องยนต์แบบหนักหน่วงหรือจำเป็นต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนอะไหล่ โดยเบื้องต้นตามคู่มือตรวจเช็กประจำวัน ดูระดับน้ำมันของเหลวต่างๆ เช็กดูว่ามีร่องรอยรั่วไหลให้เห็นชัดเจนหรือไม่ รวมทั้งดูการทำงานของพัดลม หรือสายพานว่ามีเสียงดังผิดไปจากปกติหรือเปล่า ถ้าไม่มีให้ลองถอดขั้วลบแบตเตอรี่ออกสัก 10-15 วินาที แล้วค่อยต่อเข้าไปใหม่ บางทีอาจไม่เป็นอะไรเลยก็ได้

หรือหากถึงขั้นแอดวานซ์หน่อย เพียงคุณนำอุปกรณ์ที่เรียกว่า OBD II (อุปกรณ์ตรวจเช็กสภาพรถยนต์ส่งข้อมูลไร้สายบลูทูธ) มาเสียบต่อกับพอร์ทของรถ (ส่วนใหญ่อยู่ใต้คอพวงมาลัย) จากนั้นเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนซึ่งมีแอปพลิเคชันรองรับ เพื่อดูข้อมูลรหัสความผิดที่ ECU รถยนต์ได้ตรวจพบและบันทึกเก็บไว้ โดยเราจะสามารถนำค่านี้ไปค้นหาความผิดพลาดต่างๆ ของเครื่องยนต์ได้ เช่น อาจพบว่ามีสายไฟบางตัวขาดหรือฟิวส์ขาด ซึ่งในจุดนี้เราก็สามารถทำการซ่อมแซมหรือเปลี่ยนเองได้ นอกจากนี้ OBD II ยังลบ Code ที่ Error ช่วยให้ไฟ Check Engine ดับลงได้อีกด้วย

ถ้าลองทั้งหมดแล้วยังไม่หาย ทางแก้ไขที่ดีที่สุดคือนำรถเข้าศูนย์บริการให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบเพื่อหาสาเหตุอย่างละเอียด และที่สำคัญอย่าลืมทำประกันที่รู้ใจคุณ ที่มีบริการช่วยเหลือฉุกเฉินกรณีรถเสีย 24 ชม. ไว้ด้วย เกิดอะไรขึ้นจะได้ไม่ต้องกังวล