Porsche Media Driving Academy จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีในสนามแข่งเซปังประเทศมาเลเซีย ถือเป็นอีเวนต์สอนการควบคุมรถ Porsche จากนักแข่งของแบรนด์ Porsche ให้มีความปลอดภัยสามารถเอาตัวรอดได้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน Porsche Media Driving Academy ได้ทำการคัดสรรแบ่งกลุ่มลูกค้าและสื่อมวลชนออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆ เริ่มจาก 

...


1-individual ลูกค้าเจ้าของรถ Porsche และสื่อมวลชนระดับเริ่มต้น

2-professional ลูกค้าเจ้าของรถ Porsche และสื่อมวลชนที่ผ่านการขับในระดับ individual

3-elite ลูกค้าเจ้าของรถ Porsche และสื่อมวลชนที่ผ่านการทดสอบและเรียนรู้ภาคปฏิบัติมาแล้วทั้ง individual และ professional เป็นคลาสสุดท้ายของการเรียนรู้และฝึกฝนวิธีการควบคุมรถแบบแข่งขัน การแก้อาการเมื่อรถเสียหลัก การขับแบบดริฟต์และการหลบหลีกอุบัติเหตุขั้นสูง

...

ครูฝึกหรือ instructor จาก Porsche ให้ความสำคัญมากกับการนั่งขับ ท่านั่งคือเรื่องสำคัญในอันดับต้นๆ ของการควบคุมรถยนต์ ท่านั่งที่ถูกต้องพอดิบพอดีกับระยะของพวงมาลัย แป้นคันเร่งและเบรก จะทำให้คุณควบคุมรถยนต์ได้ดีขึ้น ท่านั่งขับรถที่ถูกต้องได้ระยะพอดิบพอดีจะช่วยทำให้คุณรอดพ้นจากอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นตรงหน้าซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลาเมื่อใช้รถใช้ถนน

...

ท่านั่งที่ถูกต้อง ทำไง?
ท่านั่งขับรถที่ถูกวิธีนั้น เริ่มจากการระยะห่างของพวงมาลัย ซึ่งระยะห่างจากพวงมาลัยที่จะทำให้นั่งสบายนั้นควรห่างจากพวงมาลัย 1 ช่วงแขนพอดี โดยที่แขนของคนขับจะต้องไม่หย่อนหรือตึงจนเกินไป ซึ่งระยะแบบนี้จะทำให้มีประสิทธิภาพในการควบคุมทิศทางผ่านพวงมาลัยได้ดีที่สุด อย่าปรับร่นเบาะจนนั่งชิดกับพวงมาลัยมากจนเกินไป (คล้ายคนสูงอายุหรือสุภาพสตรีบางท่านที่ชอบนั่งจนชิดติดกับพวงมาลัย) เพราะการนั่งท่านี้จะทำให้แขนไม่สามารถหมุนพวงมาลัยได้อย่างรวดเร็วหากมีอะไรตัดหน้ารถ การปรับเบาะเอนเบาะแบบนอนขับคล้ายรถสปอร์ตก็ไม่ใช่ท่านั่งที่ถูกต้องเพราะจะทำให้ควบคุมรถได้ยากหากเกิดเหตุฉุกเฉิน แขนที่ตึงมากจนเกินไปจะทำให้ไหล่ของคุณหลุดจากเบาะเมื่อต้องหักพวงมาลัยเร็วๆ เพื่อหักหลบหรือเปลี่ยนทิศทางเพื่อหลบหลีกอุบัติเหตุ 

...

ร่นระยะห่างของเบาะให้พอดีกับการเหยียบคันเร่งหรือเบรก การใช้เท้าขวาเหยียบเบรกห้ามปรับไกลจนต้องใช้ปลายเท้าเหยียบ เมื่อเหยียบแป้นเบรกหรือคันเร่ง เข่าขวาจะต้องงอเล็กน้อยในตำแหน่งที่พอดี ไม่ควรปรับเลื่อนเบาะไกลจนเหยียบแป้นแล้วต้องยืดขาขวาออกไปจนแทบจะสุด 

ปรับพนักพิงหลัง ไม่นอนขับหรือปรับจนชิดพวงมาลัยเพราะอะไร?
การปรับพนักพิงหลังขึ้นอยู่กับสรีระของคนขับแต่ละคนที่แตกต่างกัน เมื่อก้าวขึ้นไปนั่งในตำแหน่งคนขับ ปรับพนักพิงหลังให้ตรง จากนั้นจึงค่อยๆปรับเบาะให้เอนไปทางด้านหลังเล็กน้อยไม่ตั้งชันหรือเอนมากเกินไปจนทำให้แขนตึง การปรับพนักพิงหลังจนอยู่ในระดับที่เหมาะสมจะทำให้คุณควบคุมพวงมาลัยได้ดั่งใจ ลองใช้มือซ้ายจับพวงมาลัยที่ 9 นาฬิกาแล้วหมุนไปทางขวาจนสุดหากไหล่ของคุณยกออกจากพนักพิงหลังแสดงว่าคุณยังนั่งห่างเกินไป

การปรับตำแหน่งและการจับพวงมาลัย
การปรับตำแหน่งพวงมาลัยที่ดีนั้นควรให้ พวงมาลัยนั้นเชิดขึ้นหาคนขับนิดหน่อยจะทำให้การควบคุมรถนั้นมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ซึ่งการปรับพวงมาลัยสูงหรือต่ำไปอาจจะทำให้ควบคุมการหมุนของพวงมาลัยได้ยาก  ตำแหน่งที่ถูกต้องของการใช้มือทั้งสองจับพวงมาลัย เมื่อเปรียบเทียบกับหน้าปัดของนาฬิกา มือซ้ายอยู่ในตำแหน่ง 9 นาฬิกา ส่วนมือขวาอยู่ในตำแหน่ง 3 นาฬิกา ไม่ควรจับพวงมาลัยในตำแหน่งอื่นเนื่องจากการจับในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้องจะทำให้คุณไม่สามารถควบคุมพวงมาลัยได้เมื่อเกิดเรื่องฉุกเฉินขึ้นตรงหน้า การจับพวงมาลัยในตำแหน่งที่ไม่ถูกต้องจะทำให้ความแม่นยำในการบังคับควบคุมด้อยกว่าตำแหน่งของการจับที่ 9 และ 3 นาฬิกาซึ่งอยู่ครึ่งหรือช่วงกลางของวงพวงมาลัยพอดี

ปรับระยะความสูงของเบาะให้ถูกต้อง
ปรับความสูงของเบาะไม่ให้เตี้ยจนติดพื้น มองอะไรข้างหน้าไม่เห็นหรือปรับเบาะยกสูงจนหัวแทบจะติดกับหลังคา ความสูงของเบาะที่พอดีช่วยทำให้คุณมองเห็นข้างหน้าได้ไกลกว่าการปรับกดเบาะจนเตี้ยติดพื้น หากคุณปรับยกเบาะสูงมากเกินไป เมื่อต้องหักพวงมาลัยหลบอะไรก็ตามบนถนนหรือเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ร่างกายส่วนบนของคุณจะเซไปเซมาจากแรงเหวี่ยงหรือแรงจีซึ่งจะส่งผลกระทบกับการควบคุมทำให้ไม่สามารถหลีกเลี่ยงจากเหตุการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้นตรงหน้า 

สถานีแรกของ Porsche Media Driving Academy 2017 ในสนามแข่ง Sepang F1 คือการเบรกในสถานการณ์ฉุกเฉินพร้อมไปกับการหักหลบสิ่งกีดขวาง รถที่ใช้ฝึกในสถานีนี้บอกเลยว่าเล่นเอาตกใจ สถานี Braking นั้น Porsche จัดตัวเต็มมาให้ลองประสิทธิภาพของการเบรกในรถซุปเปอร์คาร์อย่าง Porsche 911-2 Turbo S

911 Turbo S กบปิศาจตัวเต็มที่แรงสุดๆ จากการเสกเป่าของเครื่องยนต์รุ่นใหม่ติดเทอร์โบ มันวางเครื่องยนต์สูบนอน Boxer ขนาด 6 กระบอกสูบ ความจุ 3.8 ลิตร อัดอากาศด้วยเทอร์โบคู่ กำลังนั้นรุนแรงมากว่ากันถึง 580 แรงม้า ส่วนแรงบิดนั้นไม่ต้องพูดถึง สามารถกระชากหน้าคนขับให้หงายหลังได้ง่ายๆ ด้วยแรงบิดมากถึง 750 นิวตันเมตร Porsche 911 carrera Turbo S ส่งกำลังด้วยเกียร์ทวินคลัตช์ PDK-7 ขับเคลื่อนทุกล้อแบบ All wheel Drive เร่งจาก 0-100 ใน 2.8 วินาที ท็อปสปีดทะยานไปได้ถึง 330 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นรถ Porsche ที่รุนแรงบ้าคลั่งพอฟัดพอเหวี่ยงกับ Mclaren 675LT ที่ผมเคยขับเมื่อปีที่ผ่านมา 

911 รุ่นพิเศษ Turbo S ติดตั้งระบบเบรกสุดอลังการ เบรกหน้า 6 พอต ทำคาร์ลิปเปอร์เบรกทำจากอะลูมิเนียม เบรกหลังแบบ 4 พอต จานเบรกคาร์บอนเซรามิก
ด้านหน้า เส้นผ่าศูนย์กลาง 410 mm ส่วนจานคาร์บอนเซรามิกหลังมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 390 mm กลไกของการเบรกเพื่อหยุดยั้งฝูงม้าเกือบ 600 ตัวประกอบไปด้วยตัวช่วยเบรกมากมาย เช่น Anti-lock Braking System (ABS)/ integrated in PSM Pad wear sensor on every brake pad / Electric parking brake / Additional Features ล้ออัลลอยลายพิเศษกับยางสปอร์ตประสิทธิภาพสูง ล้อหน้า 8.5JxET20" ยัดยาง pirelli p zero ไซส์ 245/35ZR20 91Y ส่วนล้อหลังขยับใหญ่ขึ้นมาอีกนิดที่ 9 JxET20" ยาง pirelli p zero ไซส์ 245/35ZR20 91Y เท่ากับล้อหน้าเนื่องจากทำตัวเป็นรถสปอร์ตขับเคลื่อนทุกล้อนั่นเอง 

ตำแหน่งของกรวยยางสีส้มที่บีบจนเหลือพื้นที่หรือช่องแคบๆ พอให้รถแทรกตัวเข้าไปได้ สถานีเบรกฉุกเฉินช่วยให้ลูกค้าและสื่อสามารถเบรกพร้อมๆ ไปกับการหักพวงมาลัยหลบเพื่อเปลี่ยนทิศทางขณะเบรก สถานีนี้เล่นเอายาง pirelli p zero แทบจะหมดดอกยางกลายเป็นยางหัวโล้นเมื่อผ่านไปได้แค่ครึ่งวัน พลังการเบรกของ Porsche 911 carrera Turbo S รถสปอร์ตราคา 20 กว่าล้านนั้นเหลือเชื่อ มันสามารถหยุดยั้งฝูงม้ากว่าครึ่งพันตัวให้ว่านอนสอนง่ายแบบฉับพลันทันที เป็นสถานีที่สนุกสุดๆ ตั้งแต่การออกตัวด้วยความเร็วแบบกระโจนออกจากเส้นสตาร์ตแล้วกระทืบเบรกในตำแหน่งที่ตั้งเอาไว้พร้อมๆ กับการหักพวงมาลัยหลบเจ้ากรวยสีส้มที่ตั้งเรียงรายอยู่ในสนามแข่ง Sepang F1 อัตราเร่งจาก 0-100 ใน 2.8 วินาทีเล่นเอาไส้พุงของผมพุ่งขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอย เป็นรถ Porsche 911 ที่ออกตัวได้เร็วสูสีกับรถแข่ง F1 เลยทีเดียว แถมยังมีพลังของการเบรกที่มีประสิทธิภาพสูงมาก เป็นสถานีแห่งความเสียวสยองที่ทำให้ผมเผลอกำพวงมาลัยรถราคา 170,000 ยูเอสแน่นจนรู้สึกปวดมือ! 

สถานีต่อไปในภาคเช้าของงาน Porsche Media Driving Academy 2017 คือสถานีสลาลมจับเวลาหาผู้ที่ทำเวลาได้ต่ำที่สุดของวัน สลาลมสเตชั่นคือการฝึกควบคุมทิศทางให้มีความแม่นยำพร้อมกับความเร็วที่ต้องพอดีไม่ช้าหรือเร็วมากเกินไปจนทำให้รถเสียอาการตามมาด้วยการเสียเวลา รถทดสอบในสถานีสลาลมนั้น เป็นรถสปอร์ตโรดสเตอร์ 2 ที่นั่ง Porsche 718 Boxster S เครื่องยนต์รุ่นใหม่ตัวเล็กลงแต่แรงสุดกู่ถูกวางไว้กลางลำตัว เป็นเครื่องสูบนอนยันชักข้างแบบชักสั้นดันเร็วขนาด 2.5 ลิตร เป็นเครื่อง 4 กระบอกสูบอัดอากาศด้วยเทอร์โบออกแนวเตี้ยๆ แบนๆ คล้ายเครื่องยนต์ของ Subaru STi กำลังเค้นออกมาได้ถึง 257 กิโลวัตต์ หรือ 350 แรงม้า พร้อมแรงบิดทะลุมิติที่ 420 นิวตันเมตร ระบบอัดอากาศแบบใหม่ Variable turbine geometry (VTG) พร้อมระบบสื่อสารเวอร์ชั่นใหม่ Porsche Communication Management (PCM) including mobile phone preparation รุ่น S ติดตั้งกลไกเสียงโหดๆ จากเครื่องยนต์และท่อระบายท้าย Sound Package Plus บางครั้งก็ดังมากไปจนรำคาญ แต่บางครั้งก็สะใจในความแน่น เอาแน่เอานอนอะไรไม่ได้ออกแนววัยทอง!

718 Boxster S เร่งจาก 0-100 ใน 4.2 วินาที ด้วย Sport Chrono package อัดสุดคันเร่งได้ 280 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นโรดสเตอร์จาก Porsche อีกรุ่นที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยสูสีกับ 718 Cayman S ความเร็ว ทิศทางในการควบคุมผ่านการเล็งด้วยสายตา การหมุนพวงมาลัยไปตามช่องทางสลาลมผ่านกรวยยางสีส้ม หากทำให้กรวยยางล้มก็จะโดนปรับถึง 2 วินาที การโดนปรับโทษฐานทำกรวยยางล้มทำให้หมดโอกาสที่จะทำเวลาได้น้อยกว่าคนอื่นๆ สเตชั่นสลาลมที่ผมเคยยืนทำตาปริบๆ ดูคนอื่นเค้าเข้าวินทำเวลาน้อยคว้าชัยชนะมามากต่อมาก ผมต้องใช้เวลานานถึง 5 ปี จนมาถึงงานนี้ที่สามารถทำเวลาได้ต่ำที่สุดในสถานีสลาลมจากจำนวนนักข่าวกว่า 20 คนในวันนั้น คงต้องยกความดีให้กับ Porsche 718 Boxster S รถสปอร์ต 2 ที่นั่งเครื่องวางกลางลำที่ขับได้เนียนและแม่นสุดๆ หากคุณรู้จักการใช้คันเร่ง ปรับแต่งพวงมาลัยคุมจังหวะของการเลี้ยวให้ถูกต้อง! 

พักทานข้าวเที่ยงในสนาม Sepang F1 แค่ชั่วโมงเดียวก็มาถึงสถานีที่ 3 ของวัน กับการควบคุมรถสปอร์ตเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงให้ถูกต้องกับไลน์ของการเข้าโค้งในสนาม รถทดสอบของสเตชั่นนี้เป็นรถ Sport GT 5 ประตูรุ่นขายดี New Panamera มีให้ลอง 2 รุ่นทั้ง Panamera 4S และ Panamera Turbo 

เริ่มจาก Porsche Panamera 4S วางเครื่องยนต์ V6 ความจุ 2.9 ลิตร twin-turbo engine แรงม้าสูงสุดพอท้วมๆ ที่ 440 แรงม้า กับแรงบิด 550 นิวตันเมตร เร่งจาก 0-100 ใน 4.2 วินาที โดยมีความเร็วสูงสุด 288 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็น Panamera ขับเคลื่อนทุกล้อรุ่นใหม่ล่าสุดที่มีเทคโนโลยีเพียบนับร้อยๆ รายการในระบบขับเคลื่อน ห้องโดยสารอลังการงานสร้าง ใช้ระบบสัมผัสสั่งงานที่หน้าจอภาพและสวิตช์ทั้งหมด ล้ำสุดๆ จนต้องให้แพนจาก Headlights ช่วยอธิบายเรื่องการปรับตั้งโหมดขับเคลื่อนให้ในฐานะที่น้องเคยไปลองที่ไต้หวันช่วงเปิดตัว

ส่วน Panamera รุ่นแรงสุดและแพงสุดอีกคันที่จอดรออยู่ในสนามก็คือ Panamera Turbo รถสปอร์ตทรง GT แบบ 5 ประตู 4 ที่นั่งรุ่นนี้วางเครื่องยนต์ V8 4.0 ลิตร twin-turbocharged พร้อมชุดลดอุณหภูมิไอดี intercooled เครื่องยนต์ V8 แบบ DOHC 32-valve วางตามยาวด้านหน้า กำลัง 570 แรงม้า เร่งจาก 0-100 ใน 3.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 308 กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยมีราคาค่าตัวยังไม่รวมภาษีนำเข้าของไทยที่ 380% อยู่ที่ 180,300 ยูเอสดอลลาร์!! 

สเตชั่น Handing สอนโดยนักแข่งฝีมือฉกาจจากมาเลเซีย ชื่อ Mr. Admi Shahrul ถือเป็นครูฝึกมากประสบการณ์ของ Porsche ที่รับหน้าที่ฝึกสอนลูกค้าและสื่อมวลชนที่ Porsche เชิญมาลองขับเป็นประจำนานหลายปีแล้ว การสอนที่ถึงลูกถึงคน เข้าใจได้ง่ายและมีลูกติดตลกโปกฮาเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ Admi Shahrul กลายเป็น instructor ของ Porsche ที่ถูกอกถูกใจลูกค้าและสื่อมวลชนมากที่สุด สถานีนี้ผมเริ่มต้นด้วยการขับ Panamera 4S ไปตามผังสนามที่ถูกตั้งกรวยในโค้งเพื่อกำหนดจุดที่รถจะต้องเข้าไปให้ประชิดกรวยยางมากที่สุด

การเข้าและออกจากโค้งด้วยไลน์และความเร็วที่ถูกต้องจะช่วยทำให้คุณไปได้เร็วและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น instructor Mr. Admi Shahrul สอนทั้งการควบคุมพวงมาลัยให้มีความเนียนไม่กระตุกกระชากหรือสะบัดพวงมาลัยเร็วๆ เพื่อรักษาทิศทางและควบคุมรถให้อยู่กับร่องกับรอยเมื่อทะยานผ่านโค้งด้วยความเร็วสูง รวมถึงการส่งคันเร่งออกจากปลายโค้งเพื่อส่งความเร็วไต่ขึ้นไปเมื่อเข้าสู่ทางตรง การทดลองขับ 3 รอบแรกกับการได้ลอง Panamera 4S เป็นครั้งแรกก็รู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงใน Panamera รุ่นใหม่ล่าสุด ไม่ว่าจะเป็นแรงยึดเกาะ พลังของการเร่งและการทรงตัวในโค้งแม้จะมีน้ำหนักมากถึง 2 ตันก็ยังควบคุมได้ง่ายมากจากระบบขับเคลื่อนทุกล้อและตัวช่วยไฟฟ้านับสิบๆรายการ

3 รอบสุดท้ายผมเจอกับของแรงราคาแพงสุดติ่ง Porsche Panamera Turbo เป็น Sport GT สุดโหดที่ทำตัวหรูหราออกแนวผู้บริหารระดับสูงปริ้ด พลังอันหนักหน่วงของรุ่น 4S ที่ว่าแรงแล้วยังเทียบไม่ติดกับความเหนือชั้นของ Panamera Turbo น้ำหนัก 2 ตันของสปอร์ตไซส์ยักษ์คันนี้ไม่ใช่ปัญหา ความรุนแรงของเครื่องยนต์ V8 ทวินเทอร์โบกระหน่ำพิษสงออกมาเต็มสูบเมื่อคันเร่งถูกกดจนจมมิดลงไปบนพรมปูพื้น มันทั้งแรงและเกาะกับผิวแทรคราวกับตีนตุ๊กแก เป็นรถสปอร์ตจีทีที่เอาอกเอาใจเศรษฐีบ้าความเร็วกันสุดๆ ไปเลย Panamera Turbo มีให้คุณทั้งความสบาย ความหรูหรามีระดับและความเร็วในระดับเกือบจะสุดขั้ว รวมถึงความแม่นยำของระบบต่างๆ ที่ทำงานสอดประสานจนทำให้ยักษ์ใหญ่หนัก 2 ตันคันนี้ขับได้ง่ายดายราวกับรถคันเล็กๆ Mr. Admi Shahrul ครูฝึกคนโปรดชาวมาเลเซียในรถ Cayenny Turbo S ใช้วิทยุ ว. บอกตามโค้งให้ผมวิ่งทับไลน์ด้วยความเร็วที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดอาการหวาดเสียว แรงจีในโค้งที่ Panamera Turbo กระหน่ำออกมาทำให้รู้สึกสนุกปะปนกับอาการมวนท้องจากอัตราเร่งที่ดุเดือดเลือดพล่านของ Panamera Turbo ความแรงของมันทำให้การขับของรุ่น 4S ดูจืดชืดราวกับซดแกงจืดลืมเติมน้ำปลากันเลยทีเดียว

สเตชั่นสุดท้ายของวันในช่วงบ่ายคือสถานี Moose Test หรือการหักพวงมาลัยหลบแบบฉุกเฉินเมื่อมีอะไรวิ่งตัดหน้ากะทันหันหรือกระชั้นชิด! ส่วนรถทดสอบในสถานีสุดท้ายได้แก่ Porsche 911 Carrera 4S ตัวขับ 4 ล้อ เครื่องยนต์ของเจ้า 4S รุ่นใหม่เป็นเครื่อง Boxer นอนยันชักข้างความจุ 3.0 ลิตร เครื่องยนต์วางท้ายหรือวางอยู่ด้านหลังเหมือนบรรพบุรุษของ 911 ทุกประการ แต่ใช้กลไกไฟฟ้าในการควบคุมล้อทั้ง 4 ให้อยู่ในสมดุลสูงสุด 911 4S มีกำลัง 420 แรงม้า มากพอที่จะปั่นล้อทั้ง 4 ให้พุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็ว 0-100 ใน 4.0 วินาที ความเร็วท็อปสปีดทำได้ที่ 304 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่งกำลังด้วยเกียร์ออโต้คลัตช์คู่ 7-speed Porsche Doppelkupplung (PDK) เป็น 911 รุ่นขับเคลื่อนทุกล้อที่มีประสิทธิภาพสูงมากหากไม่นับรุ่น Turbo และ Turbo S 

Moose Test หรือการจำลองสถานการณ์หักหลบกวางหรือหมาหรืออะไรก็ตามที่วิ่งตัดหน้ารถคุณถือเป็นการควบคุมรถให้ไปตามทิศทางที่ปลอดภัยดีกว่าเสยเข้าไปเต็มๆ จนทำให้เกิดอาการบาดเจ็บสาหัสหรือถึงกับเสียชีวิต ในความเป็นจริง ท่ามกลางการขับรถยนต์ในประเทศไทยที่เต็มไปด้วยอันตรายบนท้องถนน สักวันคุณอาจเจอเข้ากับสถานการณ์ฉุกเฉินดังกล่าว ซึ่งการใช้พวงมาลัยเร็วๆ เพื่อหักหลบเปลี่ยนทิศทางของรถจะทำให้คุณรอดพ้นจากอุบัติเหตุรุนแรง Porsche 911 Carrera 4S เป็นรถขับเคลื่อนทุกล้อที่มีพื้นฐานช่วงล่างแบบรถสปอร์ตสมรรถนะสูง ความเตี้ยต่ำของช่วงล่างกับพวงมาลัยไฟฟ้ารุ่นใหม่พร้อมกับระบบ PASM หรือ Porsche Active Suspension Management คือสิ่งที่ Porsche คำนึงถึงตลอดมา การสร้างสรรค์ยนตรกรรมสมรรถนะสูงที่สุดเท่าที่เทคโนโลยีปัจจุบันจะทำได้ เพื่อส่งมอบการควบคุมที่มีความปลอดภัยสูงสุดเมื่อใช้ความเร็ว

ระบบ PASM (Porsche Active Suspension Management) จะควบคุมการทำงานด้วยไฟฟ้าเพื่อเพิ่มความเสถียรของการขับขี่ ความปลอดภัย การยึดเกาะของช่วงล่าง และความสะดวกสบายให้มากยิ่งขึ้น เป็นอุปกรณ์มาตรฐานที่ติดตั้งอยู่ในรุ่น 911 Carrera 4S ระบบจะทำการสร้างแรงกดบนเพลาหน้าและหลังอย่างต่อเนื่อง รถจะรับรู้ถึงการทำงานนี้ได้จากการขยับของตัวรถเพื่อการตอบสนองต่อรูปแบบการขับขี่ที่คล่องตัวและเกี่ยวข้องกับอัตราเร่งที่ชัดเจน รวมถึงการเบรกหรือเมื่ออยู่ในสภาวะการขับขี่ในสนามแข่งหรือห้อมาเต็มสูบบนไฮเวย์ ระบบ PASM ได้รับการออกแบบให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกระหว่าง 3 โปรแกรมการทำงานได้นั่นคือ Comfort /Sport และ Sport Plus

911 Carrera 4S เจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุดไม่เพียงแค่ทำให้ผู้ขับขี่สุนทรีย์ไปกับการขับขี่แบบสปอร์ตที่มากยิ่งขึ้น หากแต่เสียงของเครื่องยนต์และท่อระบายท้ายยังมีความหนักแน่นและเพิ่มความสุนทรีย์ให้ผู้ขับขี่มากยิ่งขึ้นอีกด้วย Sound Symposer ได้รับการติดตั้งมาเป็นอุปกรณ์มาตรฐานให้กับทุกรุ่น ระบบนี้จะสร้างเสียงเร่งของเครื่องยนต์ให้เห็นถึงความเป็นสปอร์ตมากยิ่งขึ้น ให้เข้าสู่ห้องโดยสาร ซึ่งทำงานด้วยการควบคุมการทำงานโดยการใช้ปุ่มสปอร์ต (sport button)

ระบบ Sound Symposer ถือได้ว่าเป็นระบบแบบ passive system และไม่ได้สร้างเสียงให้กับเครื่องยนต์หากแต่เป็นการผลักดันให้เสียงของเครื่องยนต์แบบ boxer นั้นเปล่งเสียงออกมาโดยตรงผ่านเข้าสู่ภายในห้องโดยสารของตัวรถเพียงแค่กดปุ่ม ช่องทางของเสียงอคูสติกนี้มาจากการสั่นสะเทือนของท่อระหว่างวาล์ว ปีกผีเสื้อ (throttle valve) และตัวกรองอากาศ (air filter) ช่องของเสียงอคูสติกจะถูกรวมเข้าไว้กับเยื่อบุผิวที่ทำการส่งสัญญาณเข้าสู่ภายในห้องโดยสารในส่วนของที่เก็บของตรงกระจกด้านหลัง วาล์วที่สามารถควบคุมได้ซึ่งอยู่ทางด้านหน้าของเยื่อบุผิวจะทำให้ระบบ Sound Symposer นั้นเปิดและปิดการทำงานโดยการกดปุ่มสปอร์ตเมื่อผู้ขับขี่ต้องการ

ระบบท่อไอเสียสปอร์ตสร้างพละกำลังและความสุนทรีย์ในการขับขี่ให้มากขึ้น
ท่อไอเสียสปอร์ต (Sports exhaust system) เป็นอุปกรณ์เสริมที่สามารถเลือกติดตั้งกับรุ่น 911 Carrera แบบขับเคลื่อนสี่ล้อ เป็นครั้งแรกที่ระบบนี้จะไม่เป็นเพียงทางผ่านสำหรับก๊าซไอเสียโดยการกดปุ่ม เท่านั้น แต่ระบบนี้จะทำการเชื่อมต่อการทำงานของทั้ง 2 ท่อไอเสียที่ติดตั้งอยู่ ด้วยระบบการทำงานเช่นนี้เองที่ทำให้ระบบท่อไอเสียแบบสปอร์ต (Sports exhaust system) สามารถผลิตเสียงของเครื่องยนต์ 6 สูบได้อย่างเต็มพิกัดมากขึ้น ผลลัพธ์ที่ได้คือเสียงของเครื่องยนต์ที่ไพเราะแสดงให้เห็นถึงพละกำลังที่เหนือชั้น และเพื่อสร้างความแตกต่างและความโดดเด่นของระบบท่อไอเสียสปอร์ตจึงมาในรูปแบบปลายท่อคู่สองคู่ในรูปแบบที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์

ระบบส่งกำลัง 7 จังหวะ
อีกหนึ่งกลยุทธ์หลักของ Porsche ในการสร้างประสิทธิภาพและสมรรถนะของเครื่องยนต์ คือการพัฒนาระบบส่งผ่านกำลังทั้ง 2 ระบบให้มีความเป็นสปอร์ต พร้อมด้วยการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง รวมไปถึงอัตราการคงระดับเกียร์ให้ได้นานที่สุด ระบบทั้ง 2 นี้คือระบบเกียร์ธรรมดา 7 จังหวะที่มีใน Porsche เป็นแบรนด์แรก และระบบเกียร์อัตโนมัติแบบคลัตช์คู่ Porsche Doppelkupplungsgetriebe (PDK) ที่มีอัตราทดเกียร์ 7 จังหวะ ผู้ขับขี่ที่เลือกใช้ระบบเกียร์ธรรมดาในรถ 911 Carrera จะสามารถประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้เหมือนกับรถที่ติดระบบเกียร์ PDK ด้วยเช่นกัน รอบเครื่องยนต์จะลดต่ำลงถึง 19% เมื่ออยู่ในความเร็วที่เท่ากัน ส่งผลให้รถประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงถึง 10% ลักษณะเด่นของระบบส่งผ่านกำลังแบบเกียร์ธรรมดาคือการล็อก shift gate ของเกียร์ 7 เพื่อป้องกันผู้ขับขี่ในการเปลี่ยนเกียร์เข้าสู่ระดับเกียร์ 7 จากเกียร์ที่ 4 และ 5 ที่เปลี่ยนอย่างรวดเร็วระหว่างการขับขี่แบบสปอร์ต

Porsche ได้เตรียมพร้อมในการพัฒนา 911 Carrera 4S ขับเคลื่อนสี่ล้อเจเนอเรชั่นใหม่ประจำปี 2017 โดยการปรับให้ตัวถังรองรับการขับเคลื่อนทางล้อหน้าให้มากขึ้น 4S มีความกว้างมากขึ้นโดยในรุ่น 911 Carrera 4S จะมีขนาดที่กว้างขึ้น 36 มม. ซึ่งการขยายให้กว้างขึ้นของขนาดรถนี้จะทำงานร่วมกับระบบ PTM all-wheel drive และทำให้รถมีสมรรถนะในการรักษาเสถียรภาพของรถเมื่อต้องเปลี่ยนทิศทางด้วยความเร็วสูงได้ดี ฐานล้อของ 911 ใหม่จะยาวกว่ารุ่นเดิม 100 มม. ส่งผลให้รถสามารถขับเคลื่อนได้อย่างมีเสถียรภาพแม้ขณะใช้ความเร็ว อีกหนึ่งระบบที่ช่วยให้รถมีประสิทธิภาพการขับเคลื่อนที่ดีคือระบบการจัดการ ช่วงล่าง Porsche Active Suspension Management (PASM), ระบบ dynamic engine mounts, ระบบควบคุมความคล่องตัวของตัวถัง Porsche Dynamic Chassis Control (PDCC), ระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า electro-mechanical power steering, ระบบกระจายแรงบิด Porsche Torque Vectoring (PTV) รวมไปถึงระบบเบรกที่ทรงประสิทธิภาพ ร่วมด้วยยางและล้อที่มีคุณภาพ

ระบบพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า (Electro-mechanical power steering) 911 Carrera 4S เจเนอเรชั่นใหม่ติดตั้งระบบพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้าหรือ electro-mechanical power steering ระบบนี้มีความโดดเด่นในเรื่องของประสิทธิภาพการทำงานและความแม่นยำ จุดเด่นของระบบนี้หากเปรียบเทียบกับระบบพวงมาลัยแบบไฮดรอลิกแบบเก่าช่วยในการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างน้อย 0.1 ลิตรต่อ 100 กม.การตอบสนองที่แม่นยำนี้จะถูกส่งถึงผู้ขับขี่ผ่านพวงมาลัย ถึงแม้จะอยู่ในความเร็วต่ำ พวงมาลัยจะทำการจัดตำแหน่งตัวเองให้อยู่ในระดับตรงโดยอัตโนมัติ เมื่อทำการเบรกบนพื้นผิวถนนที่มีระดับไม่เท่ากัน พวงมาลัยจะทำการจัดตำแหน่งในทิศทางที่ต้องการ และทำให้ง่ายต่อผู้ขับขี่ที่จะรักษาเสถียรภาพของรถและรักษาตำแหน่งของรถในช่องทางที่ต้องการได้ เพื่อสร้างความสะดวกสบายต่อการเคลื่อนที่ของรถเมื่อต้องอยู่ในความเร็วที่ ต่ำกว่า 50 กม./ชม.

ระบบการกระจายแรงบิด Porsche Torque Vectoring
911 Carrera 4S ได้รับการติดตั้งระบบการกระจายแรงบิดไปยังแต่ละล้อเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าโค้งด้วยระบบ Porsche Torque Vectoring (PTV) เป็นมาตรฐานให้กับรถ เพื่อสร้างความคล่องตัวในการใช้งาน สำหรับรุ่น 911 Carrera 4 สามารถเลือกติดตั้งเป็นอุปกรณ์เสริม ระบบจะมีให้เลือกติดตั้งถึง 2 เวอร์ชั่นคือ PTV เวอร์ชั่นที่มาพร้อมกับ Mechanical differential lock หากติดตั้งกับระบบเกียร์ธรรมดา และหากติดตั้งกับระบบเกียร์อัตโนมัติแบบคลัตช์คู่ PDK ระบบ PTV จะติดตั้งมาในเวอร์ชั่น PTV Plus ที่มีการควบคุมโดยไฟฟ้า และมีระบบเฟืองท้ายแบบ variable differential lock เต็มรูปแบบ ระบบ PTV/PTV Plus รองรับขณะเข้าโค้ง ล้อหลังด้านในจะได้รับการเบรกเมื่อเริ่มหมุนพวงมาลัยนั่นเอง แรงบิดของการขับเคลื่อนล้อหลังด้านนอกจะมากกว่าล้อด้านใน และด้วยแรงบิดที่แตกต่างนี้เองทำให้รถเกิดการหันเหและช่วยในเรื่องของการหมุนพวงมาลัย ผลลัพธ์ที่ได้คือการทรงตัวที่ดี การควบคุมพวงมาลัยที่มีความแม่นยำ

Sport Chrono package มีทั้งนาฬิกาจับเวลาในรูปแบบอนาล็อกและดิจิตอล คุณลักษณะที่โดดเด่นของ Sport Chrono package ที่เป็นอุปกรณ์เสริมสามารถเลือกติดตั้งได้คือ การขยายขอบเขตการทำงานของ double declutch แบบอัตโนมัติระหว่างการเปลี่ยนเกียร์ลงในโหมดสปอร์ตพลัสให้กับรถที่ติดตั้งเกียร์ธรรมดาอีกด้วย ด้วยการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วนี้เองที่จะทำให้ปรับเปลี่ยนความเร็วของเครื่องยนต์สู่ระดับเกียร์ที่ต่ำกว่า และทำให้ผู้ขับขี่สามารถใช้พละกำลังของเครื่องยนต์ได้ดียิ่งขึ้น หรือสามารถเบรกได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นเมื่อทำงานร่วมกับระบบเกียร์ PDK-7 ฟังก์ชันอื่นได้ถูกเสริมเพิ่มเข้าไป เช่น ระบบควบคุมการออกตัว (Launch Control) ที่ช่วยให้รถเร่งเครื่องขณะออกตัวเมื่อกดปุ่มสปอร์ต พลัส และทำให้อัตราเร่งเครื่องจาก 0–100 กม./ชม. นั้นลดลงถึง 0.2 วินาที ปุ่มสปอร์ต พลัส ยังเปิดการทำงานของระบบเกียร์อัตโนมัติ PDK ในรูปแบบ “Race course” ซึ่งเป็นการเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วขึ้นเพื่อการเร่งเครื่องที่รวดเร็วและเต็มไปด้วยประสิทธิภาพ

Porsche Dynamic Chassis Control
อีกหนึ่งระบบที่ทำให้สมรรถนะของรถ 911 Carrera เจเนอเรชั่นใหม่นี้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นกว่ารุ่นเก่าคือระบบควบคุมตัวถัง เพื่อการขับเคลื่อนอย่าง Porsche Dynamic Chassis Control (PDCC) เป็นอุปกรณ์เสริม เมื่อรถอยู่ในลักษณะที่ลาดเอียงทางด้านข้าง อาทิ เมื่อเข้าโค้ง เมื่อเลี้ยว หรือเปลี่ยนช่องทางขับขี่ในขณะความเร็วสูง ระบบ PDCC จะทำงานโดยช่วยสนับสนุนให้อัตราเร่งของด้านข้างนั้นสูงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะการลดองศาการโคลงของรถ ทำให้ยางรถอยู่ในตำแหน่งที่สัมพันธ์กับพื้นผิวถนนและสามารถส่งผ่านกำลังด้านข้างได้สูงขึ้น จากการเพิ่มความสามารถในการเร่งความเร็วในขณะเข้าโค้งคือความสามารถของรถที่เปรียบเสมือนวิ่งบนสนามแข่งขัน

ระบบนี้ยังทำให้พวงมาลัยนั้นตอบสนองได้อย่างเที่ยงตรงแม่นยำในการเลี้ยว การควบคุมการทำงานของตัวถังด้วยระบบอัจฉริยะ PDCC ช่วยให้เกิดการควบคุมอุปกรณ์การทำงานไฮดรอลิก (hydraulic actuators) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะการขับขี่ ระบบนี้จะส่งผลดีต่อการบังคับพวงมาลัยด้วยตัวเองและยังพัฒนาเสถียรภาพของรถ นวัตกรรมการใช้ตัวรถที่มีน้ำหนักเบาได้ถูกนำมาใช้ในรถ 911 Carrera ใหม่ล่าสุดเกือบทุกรุ่น เพื่อการขับขี่ที่ดีไม่ว่าจะเป็น 4S รุ่นคูเป้และเปิดประทุน และยังถูกนำมาใช้ทั้ง 911 แบบระบบขับเคลื่อนล้อหลังและขับเคลื่อนสี่ล้อ เพียงแค่ปรับเปลี่ยนเล็กน้อย ทุกรุ่นล้วนได้ประโยชน์จากการใช้โครงสร้างจากเหล็กอะลูมิเนียมที่มีน้ำหนักเบา รวมไปถึงหลังคาประทุนของ 911 ที่ทำจากวัสดุน้ำหนักเบา แนวคิดที่อยู่เบื้องหลังของการออกแบบโดยใช้วัสดุที่ถูกต้องและใช้กับชิ้นส่วนอย่างถูกที่ถูกทาง ถึงแม้การออกแบบจะทำให้รถต้องขยายสัดส่วนให้ใหญ่ขึ้น แต่โดยรวมแล้วกลับมีน้ำหนักที่เบาลงหากเทียบกับรุ่นเดิม โดย 911/2 ใหม่ที่มาพร้อมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อนี้จะมีน้ำหนักที่น้อยกว่ารุ่นเดิม ถึง 65 กิโลกรัม

สำหรับ 911 รุ่นใหม่ โรดสเตอร์สุดแม่น 718 Boxster ออฟโรดตัวเต็มอย่าง Cayenne รุ่นปรับโฉมล่าสุด และจักรกลสปอร์ตจีทีหรูหราบ้าพลังอย่าง Panamera รุ่นใหม่ที่ผม แพนจาก Headlight และเพื่อนๆสื่อมวลชนจากสิงคโปร์ ไต้หวัน ฮ่องกง มาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไนและเวียดนามได้ทดลองประสิทธิภาพนั้นคงไม่ต้องบรรยายว่ามันขับได้ดีงามขนาดไหน งาน Porsche Media Driving Academy 2017 จบลงด้วยการลงไปขับรถทั้งหมดทุกรุ่นทีละคันในสนาม Sepang F1 แบบเต็มๆ ด้วยความเร็วสูงเพื่อสัมผัสประสบการณ์ในรถสปอร์ตสมรรถนะเริดของ Porsche ปีต่อไปกับการขึ้นชั้นไปเรียนในคลาส elite นักขับทุกคนไม่ว่าจะเป็นลูกค้าหรือสื่อจะต้องเผชิญกับสถานีที่ยากและโหดหินมากกว่านี้อย่างแน่นอน.

อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th

Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom

https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/