Audi เรียก A5 Sportback e-Hybrid Quattro ว่า รถซาลูนที่มีสไตล์แบบคูเป้ จริงๆ แล้วมันเป็นรถแฮทช์แบ็กขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ + มอเตอร์ไฟฟ้า ฝาท้ายเปิดแบบยกทั้งฝาพร้อมกระจกหลังทำงานด้วยไฟฟ้า นอกจากชื่อแล้ว A5 ใหม่ ถูกปรับเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดทุกจุด ตัวรถดูโอนเอียงไปทางคูเป้ที่มีรูปลักษณ์โฉบเฉี่ยวกว่า A5 โฉมที่แล้ว แต่กระจกบานประตูแคบกว่าเดิม ทำให้รู้สึกต่ำเมื่อลงไปนั่งขับราวกับรถสปอร์ตคูเป้  อาจเป็นไปได้ว่าความรู้สึกที่ต่ำก็เพราะผมเพิ่งจะขับ Ranger WildTrak  รถกระบะตัวสูงโย่งที่เหมาะกับน้ำท่วมภาคใต้ 


...


A5 รุ่นใหม่ ยาวขึ้น สูงขึ้น และกว้างกว่าโฉมที่แล้ว ทั้ง Sportback และ Avan ยาวเท่ากันที่ 4.8 เมตรกว่าๆ ทรงของรถจากการออกแบบใหม่ดูโฉบเฉี่ยวหรูหราขึ้น ภายในก็อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีใหม่  น่าจะเห็นใจที่ Audi ทุ่มเทอย่างหนักเพื่อทำให้ new A5 e-Hybrid ดูเป็นกลางและให้ความรู้สึกเร็วบวกสบาย (อย่างมั่นใจ) และสี่ห่วงตัวใหม่ก็ทำแบบนั้นได้จริงๆซะด้วย มิติตัวถังของ Audi A5 Sportback e-Hybrid Quattro ยาว  4,829 มิลลิเมตร กว้าง  1,860 มิลลิเมตร สูง 1,444 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ  2,892 มิลลิเมตร ความจุถังเชื้อเพลิง  50 ลิตร



Audi แจ้งในเอกสารของสื่อมวลชนว่า A5 e-Hybrid สร้างขึ้นใหม่ท้ังหมดบนแพลตฟอร์ม Premium Platform Combustion (PPC) ถือเป็นครั้งแรกของการนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าไฮบริดแบบปลั๊กอิน (PHEV) สำหรับซีรีส์ A5 ที่เจ้าของและผู้โดยสารจะได้รับประโยชน์จากความสะดวกสบายมากขึ้น  นวัตกรรมทางเทคนิคสำหรับการเดินทางในชีวิตประจำวันที่เพรียบพร้อม แบตเตอรี่ HV รุ่นใหม่ ความจุเพิ่มขึ้นประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ ประสิทธิภาพการเบรกสะสมพลังงาน regenerative แบบปรับตั้งค่าการทำงานได้ รวมถึงการวิ่งด้วยไฟฟ้าเพียวๆ  ไกลสุด 110 กิโลเมตร (ขับจริงทำได้ 96 กิโลเมตร)

...

A5 Sportback e-hybrid และ A5 Avant e-hybrid เปิดตัวในประเทศไทยเมื่อเดือนมีนาคม 2568 
ราคาเริ่มต้น  
A5 Sportback TFSI e quattro Tech Plus ราคา 3,299,000 บาท (คันทดสอบ)
A5 Avant TFSI e quattro Tech Pro ราคา 3,899,000 บาท  


A5 ใหม่ เป็นก้าวสู่บทบาทต่อไปในหน้าประวัติศาสตร์ของ Audi  การออกแบบของแบรนด์สี่ห่วงนั้นไหลลื่นและเชื่อมโยงแนวเส้นสายกันอย่างกลมกลืนทั่วทั้งคัน กระจังหน้า Audi Single Frame แบบใหม่ ฝากระโปรงหน้ายาวทอดแนวเข้าสู่กระจกหน้ารถที่ลาดเอียง เสา A ถูกย้ายโดยนักออกแบบ Jacob Hirzel ไปด้านหลังล้อหน้า เส้นหลังคาลาดลงผ่านเสา B และมีเทคโนโลยีไฟ OLED ที่หรูหรา ไฟท้ายสามารถแบ่งออกเป็น 364 ส่วน มอบรูปแบบไฟที่ปรับแต่งได้ทั้งหมดแปดแบบ จุดเด่นของมุมมองด้านข้างคือซุ้มล้อที่บานออก ซึ่งนักออกแบบเรียกมุมมองแบบนี้ว่า 'Quattro muscle' ขนาดของ A5 แฮทช์แบ็กคันนี้ใหญ่กว่าเดิมเล็กน้อย ยาวกว่า 67 มม. และกว้างกว่า A4 ซีดานรุ่นเดิม 13 มม.

...



...


A5 ใหม่ มีระบบส่องสว่างที่ทำงานด้วยเทคโนโลยีใหม่ ไฟหน้าของ Audi A5 มีไฟหรี่กลางวันที่ปรับแต่งรูปแบบของไฟ LED Daytime Running Light ได้ 7 รูปแบบ พร้อมเทคโนโลยีเรืองแสง LED ไฟท้าย OLED ดิจิทัลเจเนอเรชั่นที่สอง ใช้แผง OLED  ประมาณ 60 ส่วนต่อหนึ่งแผง  ไฟท้ายถูกพัฒนาให้กลายเป็นจอแสดงผลที่ด้านหลังของรถ สามารถสื่อสารระหว่างรถกับผู้ใช้ถนน เพิ่มความปลอดภัยด้วยไฟสื่อสารแบบใหม่ ซึ่งแจ้งเตือนรถคันอื่น ขณะจอดรถ และเมื่อเกิดอุบัติเหตุหรือมีเหตุอันตราย ด้วยสัญลักษณ์ไฟเฉพาะแบบ เอฟเฟกต์ไฟแบบไดนามิกเมื่อปลดล็อกและออกจากรถ ส่วนหนึ่งจาก DNA ของ Audi  ลายเซ็นไฟดิจิทัลแบบแอคทีฟ  กำหนดทิศทางของไฟหน้าและไฟท้ายให้เคลื่อนไหวตามใจเจ้าของได้อย่างหลากหลาย ไฟหน้าและไฟท้ายแบบสามมิติ เชื่อมโยงโลกทางกายภาพและดิจิทัล

ไฟหน้า Digital Light  นวัตกรรมไฟหน้า LED ที่ใช้ชิปประมวลผลและไมโครรีเฟลกเตอร์กว่าล้านตัว นี่คือระบบแสงขั้นสูงที่ใช้เทคโนโลยี Digital Matrix LED และ Digital OLED เพื่อสร้างสรรค์แสงสว่างที่สามารถปรับแต่งได้และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น  ช่วยให้สามารถควบคุมแสงได้อย่างแม่นยำ  ปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของไฟหน้าและไฟท้ายได้ 8 แบบ เลือกใช้ไฟที่ส่องเฉพาะเลน หรือเปิดใช้งานไฟเตือนเมื่อมีวัตถุเข้าใกล้  ควบคุมทิศทางของแสงไฟอย่างแม่นยำ ฉายภาพสัญลักษณ์และข้อมูลความละเอียดระดับ HD ลงบนพื้นถนนได้ ระบบนี้ช่วยสื่อสารกับผู้ขับขี่และคนเดินถนน เช่น การเตือนเมื่อถนนกำลังก่อสร้าง หรือการปรับระดับไฟอัตโนมัติเพื่อไม่ให้แสงแยงตารถคันอื่นหรือคนเดินถนน  


Digital Matrix LED headlights
เทคโนโลยี: ใช้ Digital Matrix (DMD) ใช้หลอดไมโครมิเรอร์กว่า 1.3 ล้านหลอดต่อข้าง เพื่อควบคุมแสงเป็นพิกเซลการทำงาน: ช่วยให้สามารถสร้างลำแสงที่แม่นยำสูง รวมถึงคุณสมบัติต่างๆ เช่น ไฟส่องเลนและไฟนำทาง (Lane and orientation lights): ช่วยให้ผู้ขับขี่อยู่ในเลนได้ โดยเฉพาะในบริเวณที่กำลังก่อสร้างหรือมีเส้นจราจรไม่ชัดเจน 

ไฟท้าย Digital OLED rear lights
เทคโนโลยี: ใช้ OLED (Organic Light-Emitting Diode) ซึ่งทำให้ไฟท้ายเป็นเหมือนจอภาพที่แสดงผลได้การทำงาน: ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกรูปแบบการแสดงผลของไฟท้าย เลือกเปลี่ยนรูปลักษณ์ของไฟท้ายได้หลายแบบ ผ่านทางระบบ MMI 
ระบบเตือนเมื่อมีคนเข้าใกล้ (Proximity indication): เมื่อรถจอดนิ่งอยู่และมีคนเดินหรือปั่นจักรยานเข้าใกล้ เซ็นเซอร์จะเปิดใช้งานไฟให้สว่างขึ้นเพื่อเตือน
สร้างลำดับแสงแบบไดนามิก: สร้างลำดับการเข้าและออกจากรถแบบไดนามิกสำหรับแต่ละดีไซน์ได้ 


A5 e-Hybrid โดดเด่นกว่ารถยนต์ขนาดใกล้เคียงกัน ตรงที่เครื่องยนต์วางตัวตามแนวยาวแทนที่จะวางตามขวาง โครงสร้างในลักษณะดังกล่าวเหมาะสมกับระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Quattro  มีการปรับช่วงล่างที่ซับซ้อนกว่าเดิม (แบบโฟร์ลิงก์หน้า แบบไฟว์ลิงก์หลัง) เมื่อเทียบกับรถสี่ห่วงที่ใช้แพลตฟอร์ม MQB


พัฒนาการของมันก็คือ ระบบส่งกำลัง เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตร นั้นเป็นแบบปลั๊กอินไฮบริดแล้ว เทคโนโลยีเครื่องยนต์สันดาปภายในรุ่นใหม่ ผสมผสานระบบไฮบริดแบบปลั๊กอิน Audi เปิดตัวเทคโนโลยี e-hybrid ใน New A5 เพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในปี 2025 กำลังขับสูงสุด 270 กิโลวัตต์ หรือ 367 แรงม้า พร้อมความสมดุลที่ลงตัวระหว่างสมรรถนะและประสิทธิภาพ ระยะทางขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นเป็น 110 กิโลเมตร  



Audi A5 Avant e-hybrid quattro* และ Audi A5 Sportback e-hybrid quattro มีกำลังรวม 270 กิโลวัตต์ 367 แรงม้า ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ 2.0 TFSI ให้กำลัง 185 กิโลวัตต์ (252 แรงม้า)  มอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 105 กิโลวัตต์ กำลังไฟฟ้าสูงสุดในการชาร์จไฟ AC เพิ่มขึ้นเป็น 11 กิโลวัตต์  ลดเวลาในการชาร์จจาก 0 ถึง 100 เปอร์เซ็นต์ เหลือ 2.5 ชั่วโมง ประสิทธิภาพของระบบเบรกสะสมพลังงาน regenerative  สามารถปรับระดับการคืนแรงขับในโหมด EV ได้โดยใช้แป้น Paddle บนพวงมาลัย A5 e-hybrid มีโหมด EV เพื่อใช้พลังงานไฟฟ้าให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มอเตอร์กินกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ 29.5 กิโลวัตต์ชั่วโมง  เมื่อเปิดใช้งานฟังก์ชัน EV ระบบขับเคลื่อนจะใช้พลังงานโดยอัตโนมัติ อ้างอิงจากข้อมูลเส้นทางในระบบนำทาง A5 e-hybrid quattro สามารถคืนพลังงานโดยอัตโนมัติโดย regenerative braking  ระบบจัดการไฮบริดออกแบบเพื่อประสิทธิภาพ ความยืดหยุ่น และความสะดวกสบาย มีการปรับการทำงานของระบบขับเคลื่อนที่เหมาะสมแบบอัตโนมัติ  โหมด “EV” และ “hybrid” ในโหมด EV A5 e-Hybrid  PHEV จะขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว และเมื่อขับขี่ในโหมดไฮบริด ระบบจัดการไฮบริดจะรักษาระดับการชาร์จตามความจำเป็นเพื่อประหยัดพลังงานไฟฟ้าให้เพียงพอสำหรับการใช้งานต่อไป เช่น การขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าในเมืองที่เป็นเขตปลอดมลพิษ  โดยเลือกระดับการชาร์จด้วยการใช้แถบเลื่อนบนหน้าจอดิจิทัล 





DNA ของ Audi ไม่ใช่แค่การควบคุมหรือไดนามิกส์แต่เพียงอย่างเดียว ในการพัฒนา Audi A5  สมรรถนะของการขับเคลื่อน ฟิลลิ่งหลังพวงมาลัยถูกยกระดับขึ้นอย่างมาก โดยเน้นไปที่ความนุ่มนวลและแม่นยำ สร้างความประทับใจด้วยการควบคุมที่คล่องตัวควบคู่ไปกับความสบาย การปรับปรุงตัวถังด้วยรายละเอียดต่างๆ  เช่น พวงมาลัยที่ติดตั้งเข้ากับตัวถังโดยตรง  ทอร์ชั่นบาร์แบบใหม่ที่แข็งแรงขึ้น ลดความยืดหยุ่นระหว่างแรคพวงมาลัยและตัวแกน เพื่อการตอบสนองที่แม่นยำในทุกสถานการณ์ เมื่อขับเข้าโค้งด้วยความเร็วสูง  กันโคลงที่ถูกปรับแต่งใหม่ (ทางด้านหลัง) ด้วยการเชื่อมต่อกับเพลาหลังจะทำให้พวงมาลัยมีความคล่องแคล่วมากกว่าเดิม  ชุดควบคุมระบบเบรกพร้อมระบบกระจายแรงบิด ช่วยเพิ่มแรงดันเบรกแบบไดนามิก  รองรับการเข้าโค้งผ่านระบบเบรกแบบเฉพาะจุดบริเวณล้อด้านในของโค้งด้วยซอฟแวร์ควบคุมการทำงานแบบใหม่ 









ห้องโดยสารยังคงความทันสมัยตามแบบฉบับของรถสปอร์ตเยอรมัน  หน้าจออินโฟเทนเมนต์ MMI แบบโค้ง  ประกอบด้วยแผงหน้าปัด Virtual Cockpit ขนาด 11.9 นิ้ว และหน้าจอสัมผัสหรือจอมอนิเตอร์กลาง ขนาด 14.5 นิ้ว รุ่น Tech Plus ไม่มีออปชั่นเสริมจอแสดงผลบนกระจกหน้ารถ (Head-up Display) และหน้าจอขนาดเล็ก 10.9 นิ้วสำหรับผู้โดยสารตอนหน้า หากอยากได้ต้องควักเพิ่ม 6 แสนเพื่อไปที่ A5 Avant Tech Pro ตัวท็อปที่มาพร้อมกับออปชันแบบล้นๆ



ภายในของ A5 e-Hybrid ให้ความรู้สึกหรูหรา ตกแต่งด้วยแผงโลหะที่พาดผ่านแผงหน้าปัดไปยังประตู ทั้งสองบานมีไฟส่องสว่างด้านหลังและไฟ Ambient Light อ่อนๆที่ปรับเฉดสีบน-ล่างของแดชบอร์ดแบบแตกต่างกันได้ ประตูคนขับมาพร้อมปุ่มควบคุม 'Smart Door Panel' ที่ช่วยให้เข้าถึงการตั้งค่าต่างๆ เช่น เบาะนั่งและกระจกมองข้าง เกือบทั้งหมดใช้วัสดุที่ยั่งยืนเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน 


เบาะหลังกว้างขวางกว่า A4  ความยาวฐานล้อที่เพิ่มขึ้น 80 มม. ทำให้คนตัวสูงนั่งบนเบาะหลังที่เสริมความแข็งแรงได้สบายขึ้น  จุดรองรับสะโพกถูกออกแบบให้ต่ำลงสำหรับฐานเบาะและตำแหน่งที่ยกสูงขึ้นเล็กน้อยเหนือเบาะหน้าเพื่อให้มองเห็นด้านหน้าได้ดีขึ้นอีกนิด พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังความจุ 445 ลิตรของ A5 Sportback น้อยกว่า 480 ลิตรของ BMW 3 Series ซีดานคู่แข่ง เนื่องจากแบตเตอรี่ที่วางอยู่ด้านหลัง  แต่พื้นที่เก็บสัมภาระเข้าถึงได้ง่ายกว่า 



















จอแสดงผลใหม่ Audi virtual cockpit ขนาด 11.9 นิ้ว และ Audi MMI panoramic display ขนาด 14.5 นิ้ว ดีไซน์โค้งมน  จอแสดงผลแบบพาโนรามาโค้งมนได้รับการออกแบบให้ใช้งานง่าย ส่วนระบบ Audi assistant ปัญญาปรดิษฐ์หรือ AI ที่เข้าใจภาษาและสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เมื่อลองเปิดใช้งานผ่านคำสั่งเสียง "Hey Audi" หรือปุ่มบนพวงมาลัย สามารถใช้สั่งงานฟังก์ชันต่างๆ ของรถยนต์ เช่น เริ่มการนำทาง หรือขอความรู้ทั่วไป หาก AI ไม่สามารถตอบคำถามได้ จะมีการใช้ AI chatbot ChatGPT ซึ่งให้บริการผ่าน Microsoft Azure OpenAI Service เพื่อเข้าถึงข้อมูลบันทึกนับล้านและให้คำตอบ  เนื่องจากฟังก์ชันทั้งหมดรวมอยู่ใน Audi assistant


Audi นำเสนอระบบเสียงแบบพื้นฐาน (แต่เสียงดีมีกำลังขับพอเพียง) สำหรับผู้ที่ชอบฟังเพลงในรถยนต์ มอบประสบการณ์เสียงที่แม่นยำและเป็นธรรมชาติ ด้วยลำโพง 13 ตัว และแอมพลิฟายเออร์ กำลังขับ 450 วัตต์ มอบประสบการณ์เสียงอันเป็นเอกลักษณ์  เพิ่มประสบการณ์เสียงรอบทิศทางแบบส่วนตัวและมอบประสบการณ์เสียงที่สมจริง นอกจากนี้ยังสร้างสมดุลเสียงที่ดีขึ้นระหว่างเบาะนั่งแถวหน้าและแถวหลัง  




A5 ขับขี่ได้อย่างมั่นใจและคาดเดาได้ดั่งใจ ทุกอย่างทำหน้าที่ของมันได้อย่างที่ควรจะเป็น  เครื่องยนต์ประหยัดน้ำมันแบบครูซเซอร์ที่ยืดหยุ่น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อปรับจูนกำลังได้ถึง 367 แรงม้า)  ถ้าอยากได้รสชาติจัดจ้านก็แค่กดคันเร่งลงไปจนสุด  ช่วงล่างปรับแต่งให้นุ่มนวลขึ้นมากจนกลายเป็นรถผู้บริหารคล้าย A7 ระบบรองรับตอบสนองด้วยความนุ่มนวลบนล้อ 18 นิ้ว ช่วงล่างแบบสปอร์ตพร้อมโช้คอัพของรถทดสอบ รับมือกับการกระแทกและร่องลึกได้อย่างต่อเนื่อง  ช่วยลดความกดดันได้ตลอดเส้นทางการขับทดลอง A5 วิ่งด้วยความเร็วคงที่อย่างเนียน ขับบนทางด่วนได้อย่างนุ่มนวล บุคลิกที่เป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาจากระบบกันสะเทือนที่ช่วยป้องกันไม่ให้รถส่ายไปมาขณะเข้าโค้ง  ไม่ว่าจะเป็นทางโค้งแคบๆ หรือโค้งยาวความเร็วสูง 







เครื่องยนต์เบนซิน TFSI 2.0 ลิตรใน A5 e-Hybrid เป็นเครื่องยนต์ใหม่หมดจดจาก Audi ทำงานได้อย่างราบรื่น แต่ก็ต้องแลกมาด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ออกแนวสุภาพชนคนชั้นผู้บริหารมากจนเกินไป  A5 ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี TFSI e ด้วยเทอร์โบสุดล้ำ ประหยัดน้ำมันและลดมลพิษ จุดสำคัญก็คือ มันเป็นรถที่เร่งแรงแซงได้อย่างเด็ดขาด พลังที่เร้าใจถูกปลดปล่อยออกมาออย่างสุภาพมาก จนบางครั้งขาดความสนุกเร้าใจไปอย่างน่าเสียดายเนื่องจากความเงียบของเครื่องยนต์ มีเพียงแรงดึงหนักแน่นที่พอจะรู้สึกได้บ้างว่ามันกำลังเร่งความเร็วอย่างเต็มข้อ ตัวเลขความเร็ว เปลี่ยนจาก 0 ไปจนถึง 170 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแค่แวบเดียว  ตามทฤษฎีแล้ว การเลือก Avant ที่มีตัวถังทรงแม่บ้าน คุณจะต้องจ่ายแพงกว่าถึง 600,000 บาท และแน่นอนว่ามีคนที่เลือกรถทรงแม่บ้านอย่าง Avant มากกว่า Sportback คันทดสอบ 

เครื่องยนต์เบนซิน  เทคโนโลยี e-Hybrid ของ Audi  วิ่งด้วยไฟฟ้าไกลกว่าเดิมมาก ลดการปล่อย CO2 ลงได้ 10 กรัม/กม. เหลือเพียง 149 กรัม/กม. เครื่องยนต์รุ่นนี้มีความนุ่มนวลมากกว่าเครื่องยนต์เบนซินสี่สูบเรียง TFSI ของ Audi A4-A5 โฉมที่แล้ว ขับได้โคตรเนียนบนทางด่วนหรือไฮเวย์ข้ามจังหวัด อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงทำได้ 14.7 กิโลเมตรต่อลิตร ทั้งๆที่ขับเร็วต่อเนื่อง  คาดว่าเจ้าของรถทั่วๆไปน่าจะทำได้ดีกว่าเพราะวันทดสอบนั้นเร่งกระหน่ำตั้งแต่ออกจาก กทม จนมาถึงอำเภอศรีสวัสดิ์ 





แบตเตอรี่ขนาด 25.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง (ความจุที่ใช้งานได้จริงอยู่ที่ 20.7 กิโลวัตต์ชั่วโมง) ได้รับการจัดอันดับอย่างเป็นทางการให้วิ่งได้ระยะทาง 110 กิโลเมตร  สามารถขับในโหมด EV ได้จนกว่าแบตเตอรี่จะหมดเกลี้ยง  โหมดไฮบริดจะเป็นโหมดขับเคลื่อนที่บริหารพลังงาน (ทั้งน้ำมันและไฟฟ้า) ได้อย่างชาญฉลาด มันเป็นโหมดที่ควบคุมพลังงานอย่างระมัดระวัง ทั้งหมดของการขับเคลื่อนนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหรือตัวแปรต่างๆ เช่น เส้นทางที่ใช้ ระบบนำทางผ่านดาวเทียม เส้นทางที่เต็มไปด้วยเนินเขา (แบบในวันทดสอบ)   ไม่ว่าจะเหยียบคันเร่งจนสุดหรือขับแบบเรื่อยๆ  มันก็ยังคงแรงและประหยัดอยู่เหมือนเดิม นั่นดูเหมือนจะน่าเบื่อ แต่จริงๆ แล้วดีเลยทีเดียว 


A5 ปลั๊กอินไฮบริดให้การเลี้ยวที่นุ่มนวลด้วยแรคพวงมาลัยไฟฟ้าอัตราทดแปรผันแบบใหม่  ในโหมดประหยัดพลังงานที่ส่งถ่ายออกมาให้ประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมในการขับเคลื่อน ไม่บั่นทอนความสนุกด้วยการลดค่าการตอบสนองของคันเร่งมากจนเกินไป การผสมผสานระหว่างระบบเบรกสะสมพลังงานและการทำงานของมอเตอร์นั้นเจ๋งสุด Audi ใช้ระบบอัจฉริยะผสานระบบสร้างพลังงานกลับคืนสู่ระบบไฮดรอลิกที่แยกออกจากแป้นเบรกอย่างสิ้นเชิง เชื้อเพลิง 1 ถัง บวกไฟเต็มแบตฯ ถ้าใช้คันเร่งระวังก็ไปได้ไกล  650-700 กิโลเมตร 




ระบบจัดการไฮบริดของ A5 e-Hybrid ออกแบบมาเพื่อประสิทธิภาพ ความยืดหยุ่น และความสะดวกสบาย ด้วยการทำงานที่เหมาะสม ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ซิงโครนัส กำลังสูงสุด 105 กิโลวัตต์ มอเตอร์ไฟฟ้าถูกรวมเข้ากับระบบเกียร์ S-tronic เจ็ดสปีด แรงบิดเต็มระบบพร้อมใช้งาน 500 นิวตันเมตร ในรุ่น 270 กิโลวัตต์ (367 แรงม้า)   ระบบอิเล็กทรอนิกส์กำลังไฟฟ้า (อินเวอร์เตอร์พัลส์) พัฒนาใหม่ มีขนาดเล็กลง เบาและมีประสิทธิภาพมากขึ้น  ลดการใช้ไฟฟ้าลงไปพอสมควร ทำให้อัตราสิ้นเปลืองพลังงานในโหมดไฮบริดลดลง 


หัวใจสำคัญของ A5 ปลั๊กอินไฮบริด คือ แบตเตอรี่แรงดันสูงติดตั้งด้านหลัง ความจุ 25.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง (พลังงานสุทธิ 20.7 กิโลวัตต์ชั่วโมง) Audi เพิ่มความจุขึ้นประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับ A6 TFSI e  ซึ่งเป็นรถปลั๊กอินไฮบริดรุ่นก่อนหน้า พื้นที่ติดตั้งแบตฯ มีความเหมาะสมเมื่อเทียบกับความจุที่เพิ่มขึ้น แบตเตอรี่แรงดันไฟฟ้าสูง มีขนาด 992 × 996 × 177 มิลลิเมตร  ทำงานร่วมกันระหว่าง regenerative braking แบบแรงเสียดทานเชิงกลและการกู้คืนพลังงานผ่านมอเตอร์ไฟฟ้า เพิ่มประสิทธิภาพการเบรกแบบรีเจนเนอเรทีฟ 

เซลล์แบตเตอรี่ของ A5 e-hybrid จัดเรียงแบบชั้นเดียวเนื่องจากมีพื้นที่ว่างในส่วนท้ายของรถมากพอ เซลล์แบบปริซึมแต่ละเซลล์เก็บพลังงานได้มากกว่าเซลล์แบตฯ รุ่นเก่าประมาณ 46 เปอร์เซ็นต์ แต่ละเซลล์มีความจุในการชาร์จ 70 แอมแปร์-ชั่วโมง (Ah) ส่วนประกอบหลักของเซลล์ 102 เซลล์ มีความหนาแน่นของพลังงานสูงขึ้น พลังงานของแบตเตอรี่ถูกมัดรวมกันเป็น 6 ชุด ชุดละ 17 เซลล์


Audi เรียนรู้การจัดเรียงเซลล์แบตเตอรี่ โดยพัฒนาวิธีการใหม่ที่เรียกว่า cell-to-pack ในกระบวนการดังกล่าว เซลล์จะไม่ถูกบรรจุอยู่ในโมดูลแบตเตอรี่ แต่จะถูกติดกาวเข้ากับตัวเรือนแบตเตอรี่โดยตรง ความหนาแน่นของการบรรจุที่สูงขึ้น เพิ่มปริมาณพลังงานและความหนาแน่นของระบบ HV  โดยใช้พื้นที่น้อยลง  การพัฒนาทางเทคนิคเพิ่มเติมในด้านเคมีของเซลล์ ทำให้เก็บและปล่อยกระแสไฟฟ้าได้สูงกว่าแบตเตอรี่รุ่นก่อน กำลังไฟฟ้ากระแสสลับสูงสุด เพิ่มขึ้นจากสองเฟส 7.4 กิโลวัตต์ เป็นสามเฟส 11 กิโลวัตต์  กำลังไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น ทำให้ระยะเวลาในการชาร์จแบตเตอรี่แรงดันสูง (HV) จาก 0 ถึง 100% ลดลงเหลือเพียง 2.5 ชั่วโมง  สายชาร์จ (โหมด 3, ปลั๊กแบบ 2)  ชาร์จได้ทั้งที่บ้านและสถานีชาร์จ


Audi เพิ่มประสิทธิภาพการเบรกแบบรีเจนเนอเรทีฟเพื่อประจุไฟใส่แบตเตอรี่อย่างเต็มที่ ประสิทธิภาพของระบบขับเคลื่อนแบบปลั๊กอินไฮบริดขึ้นอยู่กับการปรับตั้งของคนขับ เมื่อผ่อนเท้าออกจากคันเร่ง  ระบบช่วยเบรกแบบ Overrun Recuperation จะถูกควบคุมผ่านการลดความเร็วด้วยเซนเซอร์ ระบบช่วยเบรกแบบอัตโนมัติ สามารถตั้งค่าล่วงหน้าผ่านระบบ MMI ตำแหน่งเกียร์ D และ M ระบบจะปรับค่าการช่วยเบรกแบบอัตโนมัติ  ข้อมูลเส้นทางว้ในระบบนำทาง เช่น ความลาดชัน รัศมีโค้ง ป้ายชื่อ สถานที่ และขีดจำกัดความเร็ว ปัจจัยสำคัญ คือ สภาพการจราจร ทันทีที่เลือกระบบเบรกแบบ Regenerative อัตโนมัติ สัญญาณคาดการณ์จะถูกป้อนเข้าสู่ฟังก์ชันเบรกแบบ Regenerative ด้วยความช่วยเหลือของ Predictive




Efficiency Assistant (PEA) A5 e-hybrid สามารถเบรกแบบ Regenerative โดยไม่ต้องเชื่อมต่อกับระบบนำทางแบบแอคทีฟ เมื่อเหยียบเบรกระหว่างการลดความเร็ว A5 Sportback e-hybrid quattro จะดึงพลังงานกลับคืนได้สูงสุดถึง 88 กิโลวัตต์ และป้อนเข้าสู่แบตเตอรี่แรงดันสูง เมื่อใช้งานเป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้า มอเตอร์ไฟฟ้ามีส่วนช่วยในการเบรกมากถึง 90 เปอร์เซ็นต์ (ของกระบวนการลดความเร็วทั้งหมด) ระบบควบคุมการเบรกแบบบูรณาการพร้อมความสามารถในการผสมผสาน (iBRS)  เบรกไฮดรอลิกของล้อแต่ละข้าง  ใช้เฉพาะกับการเบรกที่หนักขึ้นเท่านั้น  ไม่มีผลต่อความรู้สึกในการเบรกของผู้ขับ เนื่องจากแป้นเบรกและระบบไฮดรอลิกของเบรก ถูกแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง 

 




แพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์ E3  ใน Premium Platform Combustion (PPC) มีระดับการคืนพลังงานในโหมดการขับขี่ด้วยไฟฟ้า (โหมด EV)  ซึ่งปรับได้สามระดับ โดยใช้แป้น Paddle Shift บนพวงมาลัย แป้นซ้าย (ลบ) ใช้เพื่อเลือกระดับการทำงานของเบรกไฟฟ้าและระดับการคืนพลังงานที่มีความสอดคล้องกัน แป้นด้านขวา (บวก) ใช้เพื่อลดระดับการคืนพลังงาน หรือปลด   Regenerative  สามารถใช้แป้นเปลี่ยนเกียร์เพื่อตั้งค่าระดับการลดความเร็วก่อนเข้าโค้งได้ตามต้องการ ยกตัวอย่าง เช่น ที่ระดับศูนย์ A5 ปลั๊กอินจะไหลอย่างอิสระโดยไม่มีการ  Regenerative หมายความว่าพลังงานไฟฟ้าจะถูกกู้คืนก็ต่อเมื่อเหยียบเบรกเท่านั้น

 




A5 PHEV  มีโหมดการทำงานสองโหมด ได้แก่ “EV” และ “hybrid” ในโหมด EV รุ่น PHEV จะทำงานด้วยพลังงานไฟฟ้า เครื่องยนต์สันดาปภายในจะทำงานเฉพาะในสถานการณ์ต่อไปนี้ : การยกเลิกการเลือก EVด้วยสวิตช์ด้านล่างจอแสดงผลแบบพาโนรามา หรือผ่าน MMI; ในโปรแกรมการขับขี่ ผ่านโหมดที่เลือกของระบบควบคุมการขับขี่แบบไดนามิก Audi drive select หรือเมื่อเริ่มการนำทางเส้นทางโดยเปิดใช้งานระบบช่วยขับขี่ไฮบริด หากเปิดใช้งานระบบช่วยขับขี่ไฮบริด ระบบช่วยขับขี่ไฮบริดจะตรวจสอบข้อมูลเส้นทาง ในโหมด EV ความเร็วถูกจำกัดไว้ที่ 140 กม./ชม.  

แบตเตอรี่ได้รับการชาร์จเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งหมายความว่าเครื่องยนต์สันดาปภายในจะชาร์จแบตเตอรี่เฉพาะที่ความเร็วสูงกว่า 65 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่ความเร็วต่ำ ระดับประจุไฟฟ้าจะคงที่ วิธีนี้ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดและทำให้สามารถขับขี่ด้วยไฟฟ้าบางส่วนในเมืองหรือการจราจรติดขัด แบตเตอรี่สามารถวิ่งไปชาร์จไป สูงสุด 75 เปอร์เซ็นต์ 




A5 PHEV มาพร้อมกับอุปกรณ์มาตรฐานระดับสูง ซึ่งรวมถึงพวงมาลัยแบบโปรเกรสซีฟ ระบบนำทาง จอแสดงผลพาโนรามา MMI  แท่นชาร์จโทรศัพท์แบบเหนี่ยวนำ แอร์อัตโนมัติ 3 โซน ล้อขนาด 18 นิ้ว ลากจูงเทรลเลอร์น้ำหนักสูงสุด 1,900 กิโลกรัม  น้ำหนักบรรทุกสูงสุดที่หลังคารับได้คือ 90 กิโลกรัม และน้ำหนักส่วนหน้ารถสูงสุด 80 กิโลกรัม ระบบปรับอากาศมาตรฐานพร้อมคอมเพรสเซอร์สารทำความเย็นแบบไฟฟ้าทำงานขณะขับขี่ในในโหมด EV และไฮบริด ระบบปรับอากาศเสริมจะช่วยให้อุณหภูมิภายในห้องโดยสารก่อนขึ้นรถ ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ 3 โซน ควบคุมอุณหภูมิ ระดับความแรงของพัดลมแอร์ และการกระจายลมแยกกันโดยอัตโนมัติสำหรับผู้ขับขี่ ผู้โดยสารด้านหน้า และแถวหลัง  




A5 e-Hybrid เข้าโค้งได้ดีตามสไตล์ Quattro มีสมดุลในด้านไดนามิกส์เหมือน BMW 330e  และ Mercedes-Benz C350e พวงมาลัยอัตราทดแปรผันตอบสนองได้อย่างเป็นธรรมชาติ เป็นรถครูซเซอร์ซีดานที่มีประสิทธิภาพ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันของ Volkswagen Group เป็นหนึ่งในระบบที่ดีที่สุด  การปรับแต่งเสียงการทำงานของเครื่องยนต์ทำได้ค่อนข้างดี นั่นก็คือ โคตรเงียบ ไม่ใช้เสียงเพื่อสร้างความเร้าใจแต่ไปไวเอาเรื่อง เบาะนั่งแบบสปอร์ตรองรับการขับทางไกลได้ดี Audi แจ้งว่าสถาปัตยกรรม 'Premium Platform Combustion' ใหม่ (ซึ่งมาแทนที่แชสซี MLB อายุ 17 ปี ของ A4 และ A5 รุ่นเก่า) ถือเป็นการพัฒนาใหม่ทั้งหมด บางคนมองว่าเป็นเพียงวิวัฒนาการจากรุ่นก่อนหน้า เป็นครั้งแรกใน Audi คลาส A5 ที่ใช้ระบบส่งกำลังแบบ PHEV ซึ่งแบรนด์ Ingolstadt ได้กำหนดตราสัญลักษณ์ 'e-hybrid' เอาไว้อย่างแนบแน่น




ก่อนหน้านี้ Audi ไม่มีเทคโนโลยี Plug-in Hybrid มาแข่งขันในตลาดรถหรูไซล์กะทัดรัด แต่ตอนนี้ทำได้แล้ว ด้วยระบบส่งกำลัง PHEV ที่แตกต่างจาก Q5 และ A6  เริ่มต้นด้วยแบตเตอรี่ใหญ่ขึ้น ขนาด 25.9 กิโลวัตต์ชั่วโมง ให้ระยะทางวิ่งไฟฟ้า ไกลร้อยกิโลเมตร  เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ TFSI 2.0 ลิตร พร้อมเกียร์อัตโนมัติคลัตช์คู่ S-Tronic 7 สปีด  ผสานเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้า 142 แรงม้าที่ทรงพลัง  กำลังรวมของระบบอยู่ที่  367 แรงม้า แรงบิด 500 นิวตันเมตร เร่งจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลา 4.5 วินาที และทำความเร็วได้ 250 กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ล็อก)





Audi ใช้เวลากว่า 25 ปีในการพัฒนา A5 จนสมบูรณ์แบบ เป็นรถแฮตชแบ็กที่กว้าง หรูหรา ผสานดีไซน์ล้ำสมัยและคุณภาพห้องโดยสารไร้ที่ติ  e-hybrid PHEV  ให้ผลตอบแทนด้านต้นทุนการใช้งานที่น่าพึงพอใจ นอกจาก quattro 4WD คุณจะได้ความประณีตของงานประกอบและคุณภาพการขับขี่ระดับบน ปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่มีแบรนด์ใดทำแผงหน้าปัดดิจิทัลได้ดีไปกว่านี้อีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น การอัพเกรดหน้าจออินโฟเทนเมนต์ ทำให้การเชื่อมต่อระบบมัลติมีเดีย อยู่ในระดับเดียวกับระบบของ BMW และ Mercedes การแข่งขันที่ดุเดือดในตลาดรถหรู ทำให้ Audi ต้องยกระดับมาตรฐานของตัวเอง ทั้งในด้านอุปกรณ์มาตรฐานของรถรุ่นรองท็อป โดยใช้การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโมเดลที่ขายในปี 2025  






สรุป  A5  e-Hybrid ให้ความรู้สึกเหมือนรถที่ได้รับการออกแบบและประกอบอย่างพิถีพิถัน ความล้ำลึกทางวิศวกรรมพร้อมกับการใส่ใจในทุกรายละเอียดที่ผสานกันอย่างลงตัว  ความสามารถและศักยภาพในการตอบโจทย์ความต้องการของตลาดรถผู้บริหารขนาดกลางได้อย่างเป็นระบบ เป็นรถปลั๊กอินที่ขับโคตรดี  มีความเป็นเอกลักษณ์ในแบบฉบับของ Audi ซื้อตอนนี้เลยดีกว่าเพราะปีหน้าภาษีใหม่จะทำให้ราคาแพงขึ้นอีกเยอะละครับ. 

Safety ระบบความปลอดภัย

ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS

ระบบกระจายแรงเบรก EBD

ระบบเสริมแรงเบรก BA

ระบบควบคุมการทรงตัว ESC

ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TCS

ระบบเบรกมือไฟฟ้า EPB

ระบบล็อคเบรกขณะหยุดนิ่ง Audi Hold Assist

ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุด้านหน้า-ข้าง-หลัง Proactive Occupant Protection – Front / Side / Rear

ระบบแจ้งเตือนรถเมื่อออกนอกเลน Lane Departure Warning

ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตาเมื่อเปลี่ยนเลน Lane Change Warning (Blind Spot)

ระบบเตือนเมื่อเปิดประตูรถ Exit Warning

ระบบเตือนการชนด้านหน้า และ เบรกอัตโนมัติ Front Emergency Brake Assist

ระบบช่วยหักเลี้ยวพวงมาลัยในกรณีฉุกเฉิน Swerve Assist

ระบบช่วยเบรกเมื่อเลี้ยวรถที่ทางแยก Turn Assist

ระบบแจ้งเตือนด้านหน้ารถเมื่ออยู่ทางแยก Front Cross Traffic Alert

ระบบแจ้งเตือนระยะห่างรถคันหน้า Distance Warning

ระบบเตือนเมื่อมีรถตัดผ่านขณะถอยหลัง Rear Cross Traffic Alert

ระบบรักษาความเร็วและระยะห่างจากรถคันข้างหน้า Adaptive Cruise Control with Stop & Go Function

ระบบเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่ Fatigue Warning

ระบบช่วยจอดอัตโนมัติ Parking Assist Plus

ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ High Beam Assist

กล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา

เซนเซอร์กะระยะช่วยจอด ด้านหน้า-ด้านหลัง

ถุงลมนิรภัยคู่หน้า 2 ตำแหน่ง

ถุงลมนิรภัยด้านข้าง 2 ตำแหน่ง

ม่านถุงลมนิรภัย 2 ตำแหน่ง

ชุดปะซ่อมยางฉุกเฉิน

ระบบเตือนคาดเข็มขัดนิรภัย

จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX

อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/