Suzuki Fronx ครอสโอเวอร์ขนาดกะทัดรัด ฐานล้อ 2520 มิลลิเมตร เป็นการทำตลาดต่อยอดจากรถอเนกประสงค์ของ Suzuki ในรุ่น XL7 ในความเป็นจริง Suzuki Fronx อยู่ในกลุ่ม BSUV เซกเมนท์นี้ มีคู่แข่งคือ Toyota Yaris Cross Nissan Kicks e-POWER, Mitsubishi X-Force และ Honda WR-V นอกจากฐานล้อที่สั้นกระชับแล้ว Fronx ยังเป็นรถที่ Suzuki ตั้งใจใส่อุปกรณ์ใหม่ๆ มาให้ใช้งาน ด้วยราคาที่พอจะรับได้ ดังนี้
ราคารถยนต์ ALL NEW SUZUKI FRONX
รุ่น GL ราคา 689,000 บาท
รุ่น GLX ราคา 749,000 บาท
รุ่น GLX PLUS ราคา 799,000 บาท
...
สี Pearl Snow White เพิ่ม 5,000 บาท / สี Two-tone เพิ่ม 10,000 บาท
Pearl Snow White
Silky Silver Metallic
Metallic Magma Gray
Cool Black Metallic
Savanna Ivory Metallic
สีพิเศษในรุ่น GLX PLUS แบบ Two-tone 3 สี ได้แก่
Pearl Snow White / Cool Black Metallic (เพิ่มเงินจำนวน 15,000 บาท)
Savanna Ivory Metallic / Cool Black Metallic
Grayish Blue Metallic / Cool Black Metallic
จองและรับรถตั้งแต่วันที่ 25 กันยายน – 31 ธันวาคม 2568 รับสิทธิประโยชน์ดังนี้:
ดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้น 1.99%
ประกันภัยชั้นหนึ่งปีแรก
บริการช่วยเหลือฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมง ระยะเวลา 3 ปี
โปรแกรมพิเศษ SUZUKI FRONX Worry Free Maintenance Package ราคเริ่มต้น 27,999 บาท ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษารถตามระยะทาง 7 ปี
ระบบความปลอดภัยแบบใหม่
ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ Dual Sensor Brake Support II (DSBSII)
จอแสดงข้อมูล Head-up display (HUD)
ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน Adaptive Cruise Control (ACC)
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน Lane Keep Assist (LKA)
ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเลน Lane Departure Warning (LDW)
ระบบช่วยป้องกันรถออกนอกเลน Lane Departure Prevention (LDP)
ระบบเตือนเมื่อรถส่าย Vehicle Sway Warning
ระบบเตือนสิ่งกีดขวางในจุดอับสายตา Blind Spot Monitor (BSM)
ระบบเตือนเมื่อมีรถเคลื่อนผ่านขณะถอยหลัง Rear Cross Traffic Alert (RCTA)
ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ High Beam Assist (HBA)
กล้องมองภาพรอบคัน 360 องศา Surround View Monitor
เซนเซอร์ถอยหลังพร้อมสัญญาณเตือน Parking Sensor
...
...
...
หน้าตาทันสมัยมากกว่าเดิม ไฟหน้า ไฟท้าย ไฟตัดหมอก LED กระจัง 6 เหลี่ยม ล้อมกรอบชุดกระจังหน้าด้วยพลาสติกโครเมี่ยม สัญลักษณ์รูปตัว S มุมด้านข้างของกันชนหน้าเป็นชุดไฟ LED สามดวง อยู่ภายในของแผ่นพลาสติกสีดำเงา ชายล่างของกันชนหน้า-หลังมีชิ้นงานพลาสติกสีเงินตกแต่งให้ดูสวยงาม แรคหลังคาสีเงิน มือจับที่เปิดประตูใช้งานง่ายไม่หลบซ่อนแบบรถยนต์ไฟฟ้ายุคใหม่ กระจกมองข้างสีดำ มีเลนส์ไฟเลี้ยว LED อยู่ภายใน GLX Plus หลังคาทูโทนสีดำที่เจ้าของรถต้องควักเพิ่มอีก 10,000 บาท ก็จะได้ตัวถังสองเฉดสีที่แตกต่างจากรุ่นรอง
จุดที่ผมชอบก็คือการออกแบบส่วนท้ายของรถ บั้นท้ายของ Fronx ดูเฉียบคมเต็มไปด้วยเหลี่ยมมุม ไฟท้ายทรงยาวมีหลอด LED อยู่ภายใน ทั้งไฟเลี้ยวและไฟถอยหลังก็ใช้หลอด LED ทั้งหมด ส่วนไฟเบรกดวงที่สาม ติดตั้งอยู่ตรงกึ่งกลางของสปอยเลอร์หลัง ใบปัดน้ำฝนหลังมีมาให้เลยไม่ต้องรอรุ่นปรับโฉม กันชนหลังคือจุดสมดุลของมุมมองส่วนบั้นท้าย สอดรับกับชิ้นงานพลาสติกสีเงินที่กรุทับส่วนล่างบริเวณกึ่งกลางของกันชนหลัง พลาสติกสะท้อนแสงมัลติรีเฟคเตอร์ อยู่ตรงมุมด้านข้างทั้งสองฝั่งของกันชนหลัง แทบจะมองไม่เห็นท่อระบายท้าย เพราะรถยนต์ยุคใหม่เน้นการลดมลพิษ ไม่ส่งเสียงดัง ทำให้เกือบทุกแบรนด์พยายามซ่อนท่อไอเสียกันทั้งนั้น จริงๆแล้ว โรงงานประกอบ Suzuki Fronx ใช้มาตรฐานเดียวกันทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นที่ญี่ปุ่น อินเดีย หรืออินโดนีเซีย งานประกอบมีความประณีตใช้ได้ ราคาแค่ 7.9 แสนบาท ประกอบมาขนาดนี้ก็ถือว่าโอเคแล้ว รอยต่อ ตะเข็บตัวถัง การยึดชิ้นส่วนต่างๆ ภายในห้องโดยสาร เมื่อลุยทางขรุขระในวังเวียง สปป ลาว ถือว่าแน่นหนาใช้ได้ ไม่ส่งเสียงรบกวนเมื่อรูดบนทางหินกรวดด้วยความเร็ว 45-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ลงหลุมลงบ่อบนถนนที่ผุพังในวังเวียง ไม่มีจุดไหนที่ส่งเสียงดังน่ารำคาญออกมา ถือว่าทำได้ตามมาตรฐานของโรงงาน Suzuki ที่มีอยู่ทั่วโลก
จุดเด่นของ Suzuki Fronx คือ ความคล่องตัวเมื่อขับใช้งานในเมืองจากขนาดที่กะทัดรัด ความยาวตัวถัง 3,995 มิลลิเมตร เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร เบนซินแถวเรียง 4 สูบ มีความทนทาน กำลังพอใช้ได้ เร่งแล้วไม่อืด จากระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดที่ไม่ใช่เกียร์ CVT และมีค่าบำรุงรักษาต่ำ รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 4.8 เมตร ทำให้ขับหรือจอดรถในพื้นที่จำกัดง่าย ระบบ Idling Stop ลดมลพิษและประหยัดน้ำมัน แพลตฟอร์ม HEARTECT โครงสร้างตัวถัง TECT เหล็กกล้าน้ำหนักเบา แข็งแรง ทนทานต่อการสึกหรอ ระบบ NVH ช่วยลดเสียงรบกวนและแรงสั่นสะเทือนจากภายนอก ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill Hold Control) จุดยึดเบาะที่นั่งสำหรับเด็ก พร้อมจุดรั้งตำแหน่งด้านบนของเบาะที่นั่งเด็ก (ISOFIX) ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ESP ความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถ 170 มิลลิเมตร สไตล์รถครอสโอเวอร์ ขับลุยทางวิบากได้
เจ้าพ่อรถเล็กราคามหาชน เน้นความเป็นรถครอสโอเวอร์ไซล์เล็ก ด้วยรถ Fronx ที่มีขนาดความยาว 3,995 มิลลิเมตร กว้าง 1,765 มิลลิเมตร สูง 1,550 มิลลิเมตร ความยาวฐานล้อ 2,520 มิลลิเมตร ความสูงจากพื้นถึงใต้ท้องรถ 170 มิลลิเมตร รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 4.8 เมตร พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลัง 290 ลิตร เมื่อพับเบาะหลังจะเพิ่มเป็น 1,009 ลิตร ความจุถังเชื้อเพลิง 37 ลิตร น้ำหนัก 1,055 กิโลกรัม น้ำหนักบรรทุกสูงสุด 1,480 กิโลกรัม (รวมน้ำหนักรถ) พวงมาลัยแรคแอนพีเนียน ปรับอัตราทดน้ำหนักแบบแปรผันด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าทำงานไปตามความเร็วของรถ ล้ออัลลอย ขอบ 16 นิ้ว ไซล์ 195/60R16 ช่วงล่างด้านหน้าแมคเฟอร์สัน สตรัท สปริง โช้คอัพและเหล็กกันโคลง ช่วงล่างด้านหลังแบบทอร์ชันบีม ระบบเบรก ด้านหน้าแบบดิสพร้อมช่องระบายความร้อน แต่ด้านหลังยังคงใช้แบบดรัมเบรก ซึ่งเป็นอีกจุดที่ Suzuki ควรปรับปรุงไม่ลดต้นทุนด้วยการใช้ดรัมเบรกที่มีราคาถูกกว่าดิสเบรก การมีดิสเบรกสี่ล้อ ให้ความมั่นใจได้มากกว่า แม้ประสิทธิภาพของการเบรก อาจไม่แตกต่างกันมากนัก แต่ดิสเบรกสี่ล้อ คือสิ่งที่ลูกค้าต้องการมากกว่าหน้าดิสหลังดรัมแบบรถในอดีต
เบาะคู่หน้าปรับอัตโนมือ คือใช้มือยกหรือโยก แต่ก็สามารถปรับน่านั่งได้อย่างครอบคลุม ไม่สะดวกสบายเท่าเบาะปรับไฟฟ้าแต่ใช้งานระยะยาวถืกๆ ทนๆ เบาะหลังมีพื้นที่ไม่มากนัก นั่งสองคนตัวไม่สูงเกิน 175 เซนติเมตร ถือว่ากำลังสบาย แต่ถ้าตัวสูงกว่านั้นให้มานั่งหน้าจะดีกว่า วัสดุหุ้มเบาะนุ่มและนั่งสบายกว่า XL7 การออกแบบตัวเบาะใหม่ทั้งหน้าและหลัง หลังคาที่เทลาดไปยังส่วนท้าย ทำให้พื้นที่เหนือศีรษะของผู้โดยสารเบาะหลังมีไม่มาก ไม่เหมาะกับคนตัวสูง รวมถึงพื้นที่วางขา ด้วยความที่เป็นรถฐานล้อสั้นนั่นเอง
พวงมาลัยหุ้มหนังแท้แบบสามก้านใหม่ล่าสุดของ Suzuki มีแป้นเปลี่ยนตำแหน่งเกียร์หลังวงพวงมาลัย Paddle Shift มาให้ใช้งาน พวงมาลัย ปรับได้ถึง 4 ทิศทาง ดึงออกหรือดันหดกลับ ยกหรือกดลงต่ำได้มากกว่าเดิม อันนี้ถือว่าทำได้ดีเลยดีเดียว ระบบแสดงข้อมูลการขับขี่ Head-up Display หน้าจอ Touchscreen ขนาด 9 นิ้ว รองรับ Apple CarPlay / Android Auto แบบไร้สาย Wireless ช่องเชื่อมต่อ USB Type A / Type C ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย Wireless Charger เบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง สีทูโทน สีดำ – สีน้ำตาล เบาะนั่งด้านหลัง แยกพับอิสระ 60 : 40 จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX
ระบบแสดงข้อมูลบนกระจกหน้า ระบบเบรกจอดรถแบบไฟฟ้า และกล้องมองภาพรอบทิศทาง มีสวิตช์เกียร์ Paddle Shift ปุ่มและสวิตช์ควบคุมฟังก์ชันต่างๆบนพวงมาลัย ซึ่งต่างจากรถ SUV คู่แข่งจากจีนที่ฟังก์ชันต่างๆ ซ่อนอยู่ในเมนูหน้าจอสัมผัส ระบบควบคุมแบบสัมผัสมีปุ่มลัดสำหรับปุ่มโฮมและปุ่มปรับระดับเสียงที่อยู่ใต้หน้าจอสัมผัสอินโฟเทนเมนต์ขนาด 9.0 นิ้ว หน้าจอสัมผัสรองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และ Android Auto แบบไร้สาย หน้าจอหลักพร้อมวิดเจ็ตสามารถดูข้อมูลการประหยัดน้ำมัน แต่การรีเซ็ตข้อมูลต้องกดปุ่มที่ปลายก้านควบคุมภายในแผงหน้าปัด หน้าจอสีอยู่ระหว่างมาตรวัดแบบอนาล็อกซึ่งใช้งานได้ดี จอแสดงผลแบบ Head-up Display ยิงสะท้อนข้อมูลต่างๆ ลงบนแผ่นพลาสติกใสที่ยื่นขึ้นมาจากแผงหน้าปัด คล้ายกับ Mazda CX-3 แท่นชาร์จแบบไร้สายอยู่ที่ฐานของคอนโซลกลาง พร้อมด้วยที่วางแก้วอีก 2 ช่อง จัดวางตำแหน่งอย่างเหมาะสมจอแสดงผลบนกระจกหน้า (HUD) ระบบแสดงข้อมูลบนกระจกหน้าแบบรวม แท่นชาร์จไร้สาย Qi เชื่อมต่อตลอดการเดินทางด้วยการชาร์จสมาร์ทโฟน มีแท่นชาร์จไร้สายสำหรับสมาร์ทโฟนที่รองรับ Qi ติดตั้งอยู่ที่ถาดด้านล่าง
เครื่องยนต์ 1.5 ลิตร DUALJET พร้อม SHVS ไฮบริดอ่อน เครื่องกำเนิดไฟฟ้า-สตาร์ท (Starter-Generator): ทำหน้าที่สตาร์ทเครื่องยนต์และทำหน้าที่เป็นไดชาร์จในการปั่นไฟไปเก็บในแบตเตอรี่ ระบบ 12V: แรงดันไฟฟ้าของระบบนี้ ซึ่งใช้ร่วมกับแบตเตอรี่ลิเธียม 12V ด้วย ตำแหน่งการติดตั้งอยู่บนเครื่องยนต์แทนที่ไดชาร์จและไดสตาร์ทแบบเดิม ข้อดี: ช่วยให้การสตาร์ทเครื่องยนต์เงียบสนิทและรวดเร็วขึ้น และช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง เครื่องยนต์ 1.5 ลิตรมอบประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิงสูง การปล่อยมลพิษต่ำ กำลังเครื่องยนต์แรง และสมรรถนะแรงบิดสูง ISG Integrated Starter-Generator เข้ามาแทนที่ไดชาร์จแบบเดิม นอกจากจะทำหน้าที่เป็นเครื่องกำเนิดไฟฟ้าแล้ว มอเตอร์ไฟฟ้ายังสามารถสตาร์ทเครื่องยนต์และช่วยเร่งเครื่องยนต์ได้อีกด้วย แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 12 โวลต์ ขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา และอายุการใช้งานยาวนาน ช่วยเพิ่มความถี่ในการช่วยเหลือของเครื่องยนต์
เครื่องยนต์รหัส K15C เบนซิน 4 สูบ ดับเบิ้ลโอเวอร์เฮดแคมชาร์ป 4 วาว์ลต่อสูบ 16 วาล์ว ปริมาตรความจุ 1.5 ลิตร 1,462 ซีซี ความกว้างกระบอกสูบ 74.0 มิลลิเมตร ช่วงชัก 85.0 มิลลิเมตร ระบบฉีดเชื้อเพลิง MPI Multi-Point Fuel Injection กำลังอัด 12 : 1 ระบบแปรผันวาล์ว VVT Intake & Exhaust Variable-valve Timing กำลังสูงสุด 101 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 135 นิวตันเมตร มอเตอร์ไฟฟ้า DC Synchronous Motor กำลังสูงสุด 2.3 กิโลวัตต์ หรือ 3.1 แรงม้า ที่ 800 – 1,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 60 นิวตันเมตร แบตเตอรี่ Lithium-ion ความจุ 6 Ah เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ขับเคลื่อนล้อหน้า
Mild Hybrid 12 โวลต์ ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าล้วนๆ เหมือนรถยนต์ไฮบริดหรือปลั๊กอิน แต่ระบบนี้ช่วยให้การดับ/สตาร์ทเครื่องยนต์ ทำงานราบรื่นขึ้น กระตุกน้อยลงมากเมื่อเทียบกับระบบจากรถยนต์ยี่ห้อคู่แข่งบางรุ่น Fronx ใช้ระบบไฮบริดอ่อน 'SHVS' รุ่นใหม่ มีเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสตาร์ทเตอร์ เจนเนอเรเตอร์ (ISG) แทนที่ไดชาร์จ ในระหว่างการชะลอความเร็ว พลังงานที่สร้างจาก ISG จะถูกเก็บไว้ในแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 12 โวลต์
อัตราทดของเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ดึงประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ขนาดเล็กออกมาได้มาก เนื่องจากเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดทำหน้าที่เน้นย้ำถึงประสิทธิภาพที่เหนือกว่า CVT แต่ไม่ได้มากอย่างที่อยากได้ เส้นทางจากเวียงจันทน์ ไปยังวังเวียง บนทางด่วนของสปป ลาวที่ราบเรียบวิ่งนวลๆ ในย่าน 110-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง Fronx ทำได้ดีพอสมควร ไม่ใช่ในด้านของอัตราเร่ง แต่เป็นการทรงตัวที่ย่านความเร็วสูง การเปลี่ยนเกียร์เป็นโหมด Sport ทำให้มีเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นบ้าง การตอบสนองดีขึ้นมาเล็กน้อย แป้นเปลี่ยนเกียร์Paddle Shift ใช้งานได้จริง เหมาะกับเส้นทางภูเขา แต่วันทดสอบส่วนใหญ่จะเป็นทางราบ มีขึ้นเนินแค่นิดเดียว บนมอเตอร์เวย์ของ สปป ลาว มุ่งไปยังวังเวียง Fronx ไม่ได้มีกำลังที่ต่ำเกินไป เครื่อง 1.5 ลิตร ก็ทำได้ประมาณนี้ สามารถแซงได้โดยไม่ต้องลุ้นมากนัก เป็นรถสำหรับวิ่งในเมืองและขับทางไกลได้ดีพอสมควร ห้องโดยสารค่อนข้างเงียบ ทำได้ดีในเรื่องของการเก็บเสียง การทรงตัวใช้ได้ เมื่อเร่งจนไปถึงย่านความเร็วสูงก็ยังนิ่งไม่วอกแวก ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ทำงานได้ดี เมื่อขับบนทางหลวงข้ามจังหวัด ระบบจะสลับเกียร์ 5 และ 6 ซ้ำๆ กันไปตลอดทาง
ความสะดวกสบายในการขับขี่อยู่ในระดับมาตรฐาน Fronx มีระบบช่วงล่างด้านหลังแบบทอร์ชันบีมเช่นเดียวกับคู่แข่ง แต่ดูดซับแรงกระแทกได้ดี ยางแก้มสูงช่วยเรื่องของการผ่อนสั้นผ่อนยาวบนทางที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อขนาดใหญ่ในวังเวียงที่ขรุขระเหมือนผิวของดวงจันทร์ พวงมาลัยลงตัว น้ำหนักตอนแรกก็ดูดี ไม่หนักหรือเบาเกินไป สื่อสาบนผิวถนนได้ดี ทำให้ขับสนุกเพราะการตอบสนองของพวงมาลัย Suzuki รู้วิธีสร้างรถครอสโอเวอร์ที่ขับสนุกมานานแล้ว เรื่องนี้ เจ้าของ Vitara และ Jenny รู้ดี ลองเข้าโค้งเร็วๆ Fronx ก็ให้ความรู้สึกเกาะถนนแบบกระชับรัดกุม แม้ฐานล้อจะสั้นแต่เซ็ตช่วงล่างมาลงตัว ยางที่ใช้กับขนาดของยางเองก็มีความเหมาะสม ควบคุมตัวถังในย่านความเร็วสูงได้ดี แต่ไม่ให้ความรู้สึกเหมือนรถ SUV เนื่องจากจุดศูนย์ถ่วงต่ำ
สรุป Suzuki Fronx มีความคล่องตัว เมื่อเทียบกับคู่แข่งเจ้าตลาดอย่าง Yaris Cross ถือว่าไม่ได้ด้อยไปกว่ากันมากนัก ห้องโดยสารสวยงามน่าใช้ มีอุปกรณ์ใหม่ๆ ติดตั้งมาให้เยอะพอสมควร Fronx ยังมีเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยมาตรฐานที่ดี และมีคุณสมบัติพื้นฐานของการใช้งานเหมาะสมกับราคา นอกจากนั้น ด้วยราคาอะไหล่ที่ไม่แพง ทำให้การซ่อมบำรุงเมื่อใช้งานระยะยาวจะมีค่าใช้จ่ายไม่สูง ไม่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ทีละ 4-5 แสนบาท เหมือนรถไฟฟ้าจีนเมื่อแบตหมดสภาพหรือเกิดปัญหาชาร์จไฟไม่เข้าหลัง 200,000 กิโลเมตร ความคงทนในสไตล์ Suzuki มาพร้อมกับชื่อเสียงในด้านความน่าเชื่อถือของศูนย์บริการที่มีอยู่ทั่วประเทศ สัมผัสที่แข็งแรงและเฉียบคม บนทางลูกรังในวังเวียงนั้นถือว่าทำออกมาได้ดีเลยทีเดียว ระบบควบคุมทุกองคาพยบ ออกแบบมาอย่างมีเหตุผล ให้ความปลอดภัยในการขับเคลื่อน บางจุดอาจไม่ถูกใจไปซะทั้งหมด แต่โดยรวมถือว่าโอเค สอบผ่านกับการทดลองขับทางไกลใน สปป ลาว ทั้งทางเรียบและทางวิบากแบบทรมานรถ ราคาอาจแพงไปนิด เมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าจีน ท่ามกลางสงครามการลดราคารายวัน Suzuki Fronx ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ ในราคาไม่เกิน 800,000 บาท ไม่ใช่ในแง่มุมของประสิทธิภาพ แต่เป็นเรื่องของความเชื่อมั่นและการใช้งานระยะยาว.
อาคม รวมสุวรรณ
E-Mail chang.arcom@thairath.co.th
Facebook https://www.facebook.com/chang.arcom
https://www.facebook.com/ARCOM-CHANG-Thairath-Online-525369247505358/